บทที่ 951 การต่อสู้ครั้งแรกคือการตัดสิน
นับตั้งแต่กองทหารม้าของศัตรูเริ่มวนรอบกำแพงเมือง ฉินเฟิงก็คาดเดากลยุทธของฝ่ายตรงข้ามได้แล้วว่า พวกเขากำลังอาศัยกองทหารม้าทำให้กองกำลังป้องกันค่อย ๆ ผ่อนคลายความระแวดระวัง และในที่สุดก็จะใช้ทหารราบโจมตีฉับพลัน
สถานการณ์ที่ไม่มีการเตรียมพร้อม การถูกโจมตีทหารราบหลายร้อยคนโจมตีรุนแรงกะทันหันอาจทำให้เกิดความวุ่นวายได้
ฉินเฟิงเริ่มออกคำสั่งให้กองกำลังป้องกันที่อยู่ทางทิศตะวันออกและตะวันตกเคลื่อนกำลังไปเสริมแนวป้องกันทางทิศเหนือของเมือง แม่ทัพฝ่ายศัตรูจะฉวยโอกาสนี้ทุ่มกำลังโจมตีแนวป้องกันทางทิศใต้ของเมืองอย่างต่อเนื่อง ทำลายแนวป้องกันในคราวเดียว
ยุทธวิธีเช่นนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นยอดเยี่ยม แต่เป็นวิธีที่ปฏิบัติได้จริง เพราะในยุคสมัยนี้ไม่มีกล้องส่องทางไกล การสังเกตการณ์ศัตรูต้องอาศัยสายตาเปล่า และสายตาของมนุษย์ก็มีขีดจำกัด เมื่อระยะห่างมากก็ยากที่จะมองเห็นรายละเอียดได้ชัดเจน แม้แต่พลธนูผู้ชำนาญที่มีฝีมือยิงธนูทะลุใบไม้ได้ในระยะร้อยก้าวก็ไม่ได้อาศัยเพียงแค่ดวงตา แต่ยังต้องใช้สมองด้วย!
พวกเขาอาศัยการคำนวณที่แม่นยำและรวดเร็วคาดการณ์เส้นทางการเคลื่อนที่ของใบไม้ สุดท้ายก็ยิงลูกธนู แม้ว่าดวงตาของมนุษย์จะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเพียงใดก็ไม่อาจก้าวข้ามขีดจำกัดได้
ฉินเฟิงสามารถคาดเดากลยุทธของศัตรูได้ด้วยสมอง หากกองกำลังของศัตรูเพียงแค่ส่งกองทหารม้ามาสอดแนมการป้องกัน พวกเขาแค่ต้องส่งกองทหารม้ามาเล็กน้อยก็พอ แต่หากพวกเขาเตรียมเปิดสนามรบ ให้ทหารราบเริ่มการโจมตี กองทหารม้าจะต้องนำหน้าและทหารราบจะก็จะเคลื่อนพลตามมา
แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อีกอย่างนั่นคือกองทหารม้าเปลี่ยนเป็นกองทหารราบ เมื่อมาถึงแนวป้องกันทางตอนเหนือของเมือง พวกเขาจะทิ้งม้าและโจมตีเมืองด้วยการเดินเท้า แต่เกราะของทหารม้าศัตรูไม่แข็งแรงพอ และผู้ที่ปกป้องกำแพงเมืองก็เป็นองครักษ์ค่ายเทียนจีและกองทหารเป่ยซี การใช้ทหารอ่อนแอโจมตีแนวป้องกันแข็งแกร่ง แม้แต่แม่ทัพที่โง่เขลาที่สุดก็จะไม่ทำเช่นนั้น
เมื่อคิดไปคิดมาก็เหลือเพียงกลยุทธ ‘ลอบตีเฉินชาง*[1]’
นอกจากยุทธวิธีแล้วฉินเฟิงยังรู้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับแม่ทัพฝ่ายศัตรู แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลและข่าวสารถูกปิดกั้นอย่างสมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถรู้ตัวตนที่แท้จริงของแม่ทัพฝ่ายศัตรูได้ แต่ฉินเฟิงก็มั่นใจว่า แม่ทัพฝ่ายศัตรูเป็นคนที่มีความรู้ทางทหาร ทว่าหยิ่งผยองอย่างยิ่ง
ภารกิจของกองหน้าฝ่ายศัตรูคือการโจมตีเมืองอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง เพื่อทำลายกำลังพล และจิตใจของทหารที่ป้องกันเมือง
แต่แม่ทัพฝ่ายศัตรูกลับต้องการบุกทะลวงแนวป้องกัน กลืนกินอำเภอฉางสุ่ยให้หมดในคำเดียว แสดงให้เห็นถึงนิสัยใจร้อนและเห็นแก่ประโยชน์ระยะสั้น
เมื่อยืนยันได้ว่ากองหน้าไม่ได้นำทัพโดยเฉินซือ ใจของฉินเฟิงที่แขวนค้างอยู่ก็ผ่อนคลายลง
แม้ว่าแม่ทัพศัตรูที่อยู่ตรงหน้าอาจมีความรู้ทางทหารไม่ด้อยไปกว่าเฉินซือนัก แต่เฉินซือไม่มีทางคิดวุ่นวายเช่นนั้น ทุกครั้งที่เฉินซือลงมือจะต้องเป็นการโจมตีอย่างหนักหน่วงและทรงพลัง พุ่งตรงมาที่จุดอ่อนสำคัญ ทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพศัตรู
ฉินเฟิงแอบส่งกำลังทหารและแม่ทัพ เดิมทางเหนือของเมืองมีทหารประจำการเพียงสองร้อยคน หลังจากได้รับการเสริมกำลังจากแนวป้องกันทางตะวันออกและตะวันตก จำนวนทหารเพิ่มขึ้นเป็นสี่ร้อยคน และทุกคนเคลื่อนย้ายจากภายในกำแพงเมือง แล้วซุ่มซ่อนอยู่ใต้กำแพงพร้อมด้วยธนูและลูกธนู รอคอยการโจมตีของข้าศึก
กองทัพข้าศึกค่อย ๆ เคลื่อนที่มาถึงแนวป้องกันทางเหนือของเมืองและหยุดลงที่ระยะสามร้อยก้าว แล้วกองทหารม้าทั้งหมดก็ลงจากหลังม้า ผูกเชือกม้าศึกเข้าด้วยกัน เป้องกันไม่ให้ม้าตื่นจนวิ่งพล่าน ทหารม้าแปดร้อยคนเปลี่ยนเป็นทหารราบ รวมกับทหารราบห้าร้อยคนที่แผงตัวมา กลายเป็นกองกำลังหนึ่งพันสามร้อยคน
ทหารม้าที่เปลี่ยนมาเป็นทหารราบแปดร้อยคนใช้ธนูม้าเป็นธนูชั่วคราว สนับสนุนทหารราบห้าร้อยคนในการโจมตี
พวกเขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทันทีที่เริ่มการโจมตี ทหารราบห้าร้อยคนก็วิ่งกรูกันไปที่กำแพงเมือง
เมื่อเหลือระยะห่างหนึ่งร้อยก้าวยังไม่เห็นปฏิกิริยาใด ๆ บนกำแพงเมือง ทุกคนยินดีนักคิดว่าศัตรูจะติดกับดักแล้ว ไม่รู้ตัวว่าการโจมตีแบบฉับพลันเริ่มขึ้นแล้ว

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ