บทที่ 970 สตรีตระกูลฉิน
ทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่าหลิ่วหงเหยียนเป็นคุณหนูรองตระกูลฉิน และไม่มีผู็ใดกล้าเรียกนามของหลิ่วหงเหยียนตรง ๆ
การที่เฉินเจิ้งเรียกนางว่า ‘หลิ่วเอ๋อร์’ ชัดเจนว่าตั้งใจแสดงอำนาจให้หลิ่วหงเหยียนรู้ว่า คนอื่นอาจกลัวนาง แต่เขา เฉินเจิ้ง ไม่กลัวและไม่สนใจแม้แต่น้อย
กระนั้นหลิ่วหงเหยียนก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าโกรธแต่อย่างใด นางเพียงวางถ้วยชาลง แย้มยิ้ม แล้วมองตรงไปยังเฉินเจิ้ง
“ใต้เท้าเฉิน วันนี้ท่านดูเดือดดาล คงเป็นเพราะเรื่องส่งผู้คุมกองทัพไปแนวหน้ากระมัง?”
ได้ยินแบบนี้ เฉินเจิ้งแค่นเสียงเย็นชา “เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในท้องพระโรงเมื่อเช้า ไม่ทันไรเจ้าก็รู้เสียแล้ว เหมือนว่าในเมืองหลวงต้าเหลียงนี้จะไม่มีอะไรที่เจ้าไม่รู้กระมัง ตอนนี้ทั้งมหาเสนาและโหวฉินต่างไม่อยู่จวน อย่าบอกนะว่า ภูเขาไม่มีเสือ ลิงเลยขึ้นครองแล้ว?”
วาจาช่างน่าฟังนัก!
หลิ่วหงเหยียนยังคงรักษากิริยา ไร้ท่าทีโกรธเคือง อย่างไตอนนี้นางก็ถือได้ว่าเป็นรักการผู้นำตระกูลฉิน นางที่ได้รับความไว้ใจเช่นนี้ย่อมมีความอดทนและความกว้างขวาง
“ไม่ทราบว่าใต้เท้าเฉินมาที่นี่ตั้งใจมาสร้างความลำบากแก่สตรีตระกูลฉิน หรือตั้งใจมาพูดคุยธุระเจ้าคะ”
“หากเป็นกรณีแรกคงต้องแจ้งแก่ท่านไว้ก่อนว่า ตระกูลฉินไม่เคยยอมเสียเปรียบโดยง่าย ขอให้ใต้เท้าพิจารณาให้ดี ท่านมีตำแหน่งเป็นเส่าเป่า พวกข้าย่อมไม่อาจทำอะไรท่านได้ แต่ความแค้นก็จำเป็นต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งมาชดใช้!”
“แต่หากเป็นกรณีหลัง ก็เชิญท่านใต้เท้าเฉินนั่งลงเถิด พวกเราจะได้ปรึกษาหารือกันอย่างใจเย็น ดีหรือไม่?”
ท่าทีเย่อหยิ่งหรือถ่อมตัวต่ำต้อยเกินควรของหลิ่วหงเหยียนทำให้เฉินเจิ้งนึกชื่นชมนัก นางเป็นเพียงสตรี แต่สามารถควบคุมสถานการณ์วุ่นวายได้ยอดเยี่ยม เท่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของนางแล้ว ทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อย แต่กลับมีท่วงท่าเหมือนฮูหยินฉินเมื่อครั้งอดีต และแน่นอนว่า เฉินเจิ้งมาที่หมิ่งเยว่ไจวันนี้ไม่ใช่เพื่อหาเรื่อง แต่เพื่อพูดคุยธุระสำคัญ
เมื่อเห็นว่าหลิ่วหงเหยียนมีความสามารถ เฉินเจิ้งก็ไม่ลองเชิงแล้ว เขานั่งลงแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “การส่งผู้คุมกองทัพไปยังแนวหน้าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำและเป็นความหวังของทุกคน แผ่นดินต้าเหลียงเป็นของฮ่องเต้ต้าเหลียง หาใช่ฉินเฟิง หากไม่ส่งผู้คุมกองทัพคราวนี้ ผู้ไม่รู้ก็คงคิดว่า ต้าเหลียงมีฮ่องเต้สองพระองค์แล้ว”
เมื่อเห็นเฉินเจิ้งกล่าวตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม หลิ่วหงเหยียนก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน
ก่อนฉินเฟิงจะเดินทางออกจากเมืองหลวง เขากล่าวแก่หลิ่วหงเหยียนไว้ว่า ภายในราชสำนักตอนนี้ต้องสนใจเพียงสองคน หนึ่งคือ องค์ชายเจ็ดหลี่ยง และอีกหนึ่งก็คือ เส่าเป่าเฉินเจิ้ง
ตอนนี้หลี่ยงถูกกักบริเวณ ไม่สามารถสร้างคลื่นลมใดได้แล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงเฉินเจิ้งที่ต้องระวัง
แต่ฉินเฟิงก็กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าเฉินเจิ้งจะสร้างเรื่องยุ่งยากและโน้มน้าวยากเย็นเพียงใดก็อย่าได้ทำให้เขาอับอาย ด้วยเหตุที่เฉินเจิ้งเป็นผู้นำของขุนนางผู้ซื่อตรง อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างของปัญญาชนทั่วหล้า หากทำการใดที่เป็นผลร้ายต่อเฉินเจิ้งย่อมจะทำให้สูญเสียใจของปัญญาชนทั่วหล้าไปด้วย ถึงตอนนั้นจะกลายเป็นได้ไม่คุ้มเสีย
อีกประการหนึ่ง ความเด็ดเดี่ยวและเที่ยงธรรมของเฉินเจิ้งก็เพื่อบ้านเมือง หาได้มีเจตนาร้ายต่อตระกูลฉินในแง่อื่น เพียงแค่ปฏิบัติต่อเขาเสมือนขุนนางผู้จงรักภักดีที่มีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกันก็พอ
หลิ่วหงเหยียนปฏิบัติตามคำของฉินเฟิงอย่างเคร่งครัด นางโบกมือให้บ่าวรับใช้ชงชาให้เฉินเจิ้งใหม่
พอเห็นว่าคราวนี้เขาไม่ได้ปฏิเสธ หลิ่วหงเหยียนจึงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ความจงรักภักดีและความกล้าหาญของใต้เท้าเฉิน ฟ้าดินเป็นพยาน จุดยืนของท่านข้าน้อยเข้าใจ ตอนนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอำนาจของเฟิงเอ๋อร์มีให้ได้ยินอู่เนือง ๆ ถึงขั้นมีข้อครหาว่า ความดีความชอบของเฟิงเอ๋อร์ต่อแผ่นดินเหนือกว่าฮ่องเต้ต้าเหลียงเสียแล้ว”
“แต่ใต้เท้าเฉินหาใช่ทั้งแม่ทัพและพลาธิการ ความเข้าใจในเรื่องผลได้ผลเสียในแนวหน้าส่วนใหญ่จึงเป็นเพียงทฤษฎี ขาดประสบการณ์จริง”
“เรื่องการส่งผู้คุมกองทัพไปยังแนวหน้า ข้าขอถามใต้เท้า ในราชสำนักทั้งหมด นอกจากฝ่าบาทแล้ว มีผู้ใดสามารถกดข่มเฟิงเอ๋อร์ได้อีก?”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ