บทที่ 996 อำนาจของตระกูล
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกตระกูลจะเลวร้าย ท้ายที่สุดแล้วตระกูลก็สามารถส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว และเมื่อเผชิญกับวิกฤตยังสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุข แต่สิ่งนี้จำกัดอยู่เพียงแค่ ‘ตระกูลเล็ก ๆ’ เท่านั้น เมื่อตระกูลเติบโตขึ้น มีคนมากขึ้น จิตใจก็ซับซ้อนขึ้น แม้แต่สิ่งที่ดีที่สุดก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนไป
ฉินเฟิงจะไม่ยอมให้มีอำนาจของตระกูลใดปรากฏในดินแดนของเขาอย่างเด็ดขาด!
เพียงแค่กล้าโผล่หัวขึ้นมา ก็ต้องใช้มาตรการรุนแรงตัดไฟเสียแต่ต้นลม
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว จ้องมองเฒ่าโจวอย่างเย็นชา “ข้าก็อยากจะเห็นว่าตระกูลโจวของพวกเจ้ามีความสามารถมากเพียงใดกัน”
“หากมีหลักฐานการทุจริตและละเมิดกฎหมายจะต้องถูกตัดสินและลงโทษอย่างรุนแรง!”
เผชิญหน้ากับน้ำเสียงดุดันของฉินเฟิง เฒ่าโจวชี้นิ้วด่าทอฉินเฟิง “ไอ้หนุ่มเจ้าเล่ห์ แม้แต่ฉินเฟิงก็ยังต้องพึ่งการสนับสนุนจากตระกูลโจวพวกข้าจึงรักษาเมืองไว้ได้ เจ้าเป็นแค่เสมียนไร้ชื่อคนหนึ่ง กล้าดีอย่างไรมาเสนอหน้าต่อหน้าพวกข้า”
“เมื่อเจ้าอยากตายก็อย่าโทษว่าข้าไม่สุภาพเสียเล่า”
“มาเร็ว บอกเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ให้พวกขุนนางตระกูลโจวของเราฟังอย่างละเอียด ดูซิว่าในเมืองฉางสุ่ยนี้ คำพูดของตระกูลโจวข้าจะมีน้ำหนักกว่า หรือไอ้เด็กอวดดีที่โผล่มาจากที่ใดก็ไม่รู้จะมีอำนาจมากกว่า”
เมื่อเฒ่าโจวออกคำสั่ง คนตระกูลโจวหลายคนก็วิ่งหายไป
เฒ่าโจวมองฉินเฟิงอย่างเย่อหยิ่ง ในใจแอบด่าทอ…
ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้โผล่มาจากที่ใด มาถึงก็ถือเอาเอาขนนกเป็นป้ายคำสั่ง หากเขาเป็นฉินเฟิง ไฉนมีทหารติดตามเพียงสองคน
แม้เฒ่าโจวจะไม่เคยเห็นฉินเฟิง แต่ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นจากระยะไกล ฉินเฟิงมีองครักษ์ค่ายเทียนจีล้อมหน้าหลัง ต่อให้ไม่ถึงร้อยคน อย่างน้อยก็หลายสิบคน
ใต้เท้าอย่างฉินเฟิงไม่ว่าจะไปที่ใดย่อมมียอดฝีมือนับไม่ถ้วนติดตามอยู่ข้างกาย
เฒ่าโจวมั่นใจไร้ความกลัว เขาแค่นเสียงใส่ฉินเฟิง “ญาติพี่น้องของข้าล้วนนิสัยเสีย หากพวกเขามาถึงแล้วโมโหจนทำร้ายเจ้าขึ้นมาก็ต้องถือว่าเป็นคราวเคราะห์ของเจ้าเถิด”
“หากเจ้ารู้จักประสาก็คำนับข้าต่อหน้าผู้คนเสีย แล้วจบเรื่องนี้ไป หาไม่เจ้าต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาเอง!”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำขู่ของเฒ่าโจว ฉินเฟิงนึกขบขัน
หนิงหู่กับหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลเดิมตั้งใจจะสังหารเฒ่าโจวเสีย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มเยาะบนใบหน้าของฉินเฟิง พวกเขาก็เข้าใจ
ไม่จำเป็นต้องลงมือ เฒ่าโจวผู้นี้ยั่วยุฉินเฟิงสำเร็จแล้ว
เพียงหนึ่งถ้วยชา ชายวัยกลางคนสามคนวิ่งเข้ามาอย่างดุดัน
คนที่นำหน้าอายุราวสี่สิบปี สวมเสื้อคลุมยาวสีดำ เขาผลักฝูงชนออกไป แล้วตะโกนเสียงต่ำ “ผู้ใดไม่รู้จักประสา กล้ามารังแกคนตระกูลโจวของข้า!”
ดวงตาของเฒ่าโจวเป็นประกาย รีบเข้าไปต้อนรับ “ต้าเซิง เจ้ามาแล้ว”
“ตระกูลหวังไม่รู้จักกลัวตายมาหาเรื่องตระกูลโจวเรา และเดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นแค่เรื่องระหว่างตระกูล ไม่รู้เจ้าเด็กเมื่อวานซืนนั่นโผล่มาจากที่ใด เข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง”
เมื่อได้ยิน โจวต้าเซิงก็ยืดอกผึ่งผาย สายตาไม่เป็นมิตร เขากล่าวว่า “โอ้ เจ้าไม่ได้บอกเขาหรือว่าข้าคือพลาธิการที่ท่านโหวฉินแต่งตั้งด้วยตนเอง?”
“ในเมืองฉางสุ่ยนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าพลาธิการ แม้ข้าจะเป็นเพียงพลาธิการชั่วคราว ไม่ได้มีตำแหน่งขุนนางจริง แต่การที่ท่านโหวฉินให้ข้าดูแลการแจกจ่ายเสบียงของราษฎรก็แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่มีต่อข้า”
“หรือในเมืองฉางสุ่ยนี้ยังมีคนกล้าไม่เห็นท่านโหวฉินอยู่ในสายตา คิดก่อการกบฏ?”
คำพูดนี้ช่างทำให้ฮึกเหิมนัก เดิมเฒ่าโจวก็เป็นคนหยิ่งยโสอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดของโจวต้าเซิง ก็เชิดหน้าจนปลายจมูกขี้ขึ้นฟ้า ในใจของเขา โจวต้าเซิงที่อยู่ตรงหน้าเป็นใต้เท้าที่อยู่ในระดับเดียวกับหนิงหู่หลิ่วหมิงแล้ว ได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากฉินเฟิง


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ