จอมเทพโอสถ นิยาย บท 1252

สรุปบท ตอนที่ 1252: จอมเทพโอสถ

อ่านสรุป ตอนที่ 1252 จาก จอมเทพโอสถ โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 1252 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายAction จอมเทพโอสถ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่1252 หัวใจแห่งศิลา

ในมือเย่หยวน เขากำลังกำผลึกมณีสีเทาอ่อนอยู่ก้อนหนึ่ง

ซึ่งผลึกมณีชิ้นนี้มีขนาดเล็กมาก ต่อให้วางมันข้างขยะเพียงว่ายังแยกไม่ออกด้วยซ้ำ เพราะมันมิได้โดดเด่นอะไรเลย

หากนำมันผสมลงในเศษหินเศษทรายบนร่างของเหล่ายักษ์หิน ยิ่งไม่สามารถสังเกตเห็นเข้าไปใหญ่

หากไม่ตั้งใจสังเกตระยะใกล้จริงๆ เกรงว่าไม่มีทางหามันเจอ

เมื่อขุนพลศิลาและที่เหลือเห็นภาพฉากตรงหน้า พวกมันแต่ละตัวต่างจจับจ้องด้วยแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวในทันใด และไม่กล้าย่างเท้าเข้าใกล้แม้สักนิด

“หุหุ ไฉนไม่โจมตีข้าแล้วล่ะ? เมื่อครู่ยังกล้ากันอยู่เลย?”

เย่หยวนเบนสายตาเหลียวมองขุนพลศิลาเล็กน้อย เขาแสร้งปั้นหน้าประหลาดใจอย่างใส่ซื่อพลางกล่าวต่อว่า

“เอ๊ะ? เหตุใดถึงไม่กล้าโจมตีข้าแล้ว? หรือเป็นเพราะ…กลัวอะไรแถวนี้ได้รับความเสียหายกระมัง?”

ขุนพลศิลาและที่เหลือต่างสงบปากสงบคำในทันใด เนื่องจากใบหน้าของพวกมันเป็นหิน สีหน้าอารมณ์จึงแสดงออกมามิได้ชัดเจนนัก

ทว่าตอนนี้กลับชัดเจนยิ่งกว่าครั้งใด สีหน้าของพวกมันอึดขรึมหนักประหนึ่งถูกกดขี่โดยสมบูรณ์

“ไม่กล่าวอะไรกันเลยรึ? ข้าสงสัยเสียจริงว่า…หากบดขยี้ผลึกมณีเม็ดนี้ให้แตกคามือ ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร?”

หลังกล่าวจบ เย่หยวนเร่งโคจรพลังปราณทั่วร่างและเตรียมบดขยี้ผลึกมณีชิ้นนั้นทันที

ขุนพลศิลาสีหน้าซีดเผือกในบัดดล มันโพล่งกล่าวขึ้นทันทีด้วยความตกใจสุดขีดว่า

“อย่า! เรายอมแล้ว! เรายอมแล้ว!”

การที่มันกล่าวเช่นนี้เท่ากับมันยอมรับแล้วว่า ผลึกมณีสีเทาอ่อนเม็ดนี้คือจุดอ่อนของพวกมัน

อันที่จริงเย่หยวนมิได้สนใจว่า ขุนพลศิลาจะยอมแพ้หรือไม่ ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้น

เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า

“หุหุ เป็นเช่นนี้นี่เอง! หากข้าเดาไม่ผิด จุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเจ้าก็คือผลึกมณีชิ้นนี้ แล้วที่กล่าวว่าไม่สามารถฆ่าพวกเจ้าได้ล่ะ? แค่ขู่งั้นรึ?”

ยามใดที่หาจุดอ่อนของเหล่ายักษ์หินไม่เจอ ไม่ว่าจะแกร่งกล้าเพียงใดก็ไม่มีทางฆ่าพวกมันได้โดยสมบูรณ์

แต่เย่หยวนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในระหว่างที่ร่างของขุนพลศิลาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หากเป็นคนทั่วไปย่อมไม่มีวันจับสังเกตเล็กๆเช่นนี้ได้แน่นอน ไม่ว่าจะปราบปรามมันลงสักกี่ครั้ง

เหล่ายักษ์หินพวกนี้มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับสิบจอมราชันย์

ในขณะที่ความแกร่งกล้าของขุนพลศิลาสามารถเทียบชั้นได้กับสามอันดับแรกของสิบจอมราชันย์!

แต่ถึงจะสังเกตเห็นความผิดปกติ แต่การจะหาผลึกมณีนี้ แค่พูดง่ายกว่าทำแน่นอน

เหตุผลที่เย่หยวนต้องเคลื่อนที่โฉบแล่นไปทั่วบริเวณก็เพื่อตรวจสอบยักษ์หินเหล่านี้ที่ร่างแตกเป็นเสี่ยงๆ

ในท้ายที่สุดนี้ เขาก็ค้นพบว่าความเร็วในการฟื้นตัวของพวกมันสัมผัสกับตอนที่ผลึกมณีสีเทาอ่อนปลดปล่อยคลื่นความผันผวนออกมาจากร่างขุนพลศิลา

ดังนั้นแล้ว จึงสรุปได้ว่า ผลึกมณีสีเทาอ่อนชิ้นนี้คือแหล่งฟื้นฟูร่างกายของพวกมันทั้งหมด

ตราบใดที่เย่หยวนทำลายผลึกมณีสีเทาอ่อนทิ้งไป พวกมันจจะไม่สามารถฟื้นตัวได้อีกตลอดกาล

“เจ้า…เจ้าทราบได้อย่างไร? ข้ามั่นใจยิ่งว่า ในปัจจุบันทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่มีใครทราบถึงจุดอ่อนของเผ่ายักษ์หินอีกแล้ว!”

ขุนพลศิลากล่าวขึ้นพร้อมน้ำเสียงสุดเศร้าโศก

เนื่องจากเผ่ายักษ์หินได้สูญพันธุ์ไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์นานแล้ว ผู้คนในยุคสมัยปัจจุบันย่อมไม่มีทางทราบถึงจุดอ่อนของพวกมันแน่นอน กระทั้งชื่อเผ่าพันธุ์ยังเกรงว่าไม่รู้จักด้วยซ้ำ

ทว่า…กลับเป็นเด็กเหลือขอคนนี้อีกครั้งที่เสาะพบจนเจอ!

นี่จึงทำให้มันหดหู่ใจอย่างยิ่ง

“หุหุ ทุกชีวีตย่อมมีจุดอ่อน ตราบใดที่ยังไม่ย่อท้อและเสาะค้นต่อไป ย่อมหาเจอเสมอในท้ายที่สุด เอาล่ะ,ตอบคำถามนายน้อยผู้นี้มา ผลึกมณีชิ้นนี้คืออะไร? ไฉนข้ารู้สึกว่ามันค่อนข้างไม่ธรรมดา?”

ยามที่เย่หยวนกุมถือผลึกมณีสีเทาอ่อนนี้ไว้ในมือ เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานแปลกที่แผ่ซ่านออกมาเป็นระลอก

ความผันผวนชนิดนี้คล้ายหัวใจมนุษย์ที่กำลังเต้นอยู่

นี่อาจเป็นแหล่งกำเนิดของยักษ์หินและสามารถชุบชีวิตพวกมันได้อย่างไม่จำกัด

“เอ่อ…”

เมื่อได้ยินคำถามของเย่หยวน กลับเป็นขุนพลศิลาที่เริ่มรวนเร

“ดูท่าเจ้าจะไม่สนใจชีวิตของเหล่าสหายร่วมเผ่าพันธุ์ เช่นนั้นแล้ว…”

“เหอะ มีผู้นำอย่างเจ้า เหล่าสมาชิกที่เหลือจักต้องสูญพันธุ์กันหมด!”

เย่หยวนกล่าวเย้ยหยันทันที

“หึ! พวกมนุษย์ช่างน่ารังเกียจ! พี่ใหญ่ขุนพลศิลาอุตส่าห์ทำถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ! เจ้ากลับรังแกพวกเราเกินไป!”

“พี่ใหญ่ วันนี้พวกเราขอสู้ร่วมกันท่านจนตัวตาย! วันนี้ไม่มันก็เราต้องตายไปข้าง!”

“ฆ่าพวกมนุษย์! ล้างแค้นให้พี่ใหญ่แม่ทัพศิลา!”

สิ่งที่ทำให้เย่หยวนประหลาดใจคือ ไม่เพียงแต่ขุนพลศิลาที่บ้าดีเดือด แม้กระทั้งเหล่ายักษ์หินตัวอื่นๆเองกลับเห็นพ้องต้องกัน

“เหอะ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า วันนี้พี่ใหญ่กลับต้องรับบทตัวร้ายไปเสียแล้ว เผ่ายักห์หินพวกนี้ช่างซื่อตรงและจริงใจโดยแท้!”

อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพลางถอนหายใจอย่างหมดปัญญา

เหล่ายักษ์หินเก้าตัวตรงเข้าปิดล้อมเย่หยวนในทันที แต่หลังจากที่ความแกร่งกล้าของเย่หยวนพัฒนาขึ้นอีกขั้น พวกมันก็หาใช่คู่มืออีกต่อไป

ในทางตรงกันข้าม เย่หยวนสามารถฆ่าเหล่ายักษ์หินพร้อมได้ในทีเดียว หัวใจแห่งศิลาอยู่ในกำมือของเขา นั้นเท่ากับชีวิตและความตายของพวกมันก็อยู่ในมือเขาเช่นกัน

“ย๊ากกก! เจ้ามนุษย์บัดซบ! ข้าจะสู้กับเจ้าเอง!”

ทันใดนั้นเอง ขุนพลศิลาก็พลันบ้าดีเดือดถึงขีดสุดประหนึ่งเสียสติไปแล้ว จู่ๆกลางหน้าผากของมันพลันเปล่งแสงประกายเจิดจ้า

เมื่อเหล่ายักษ์หินตัวอื่นๆเห็นภาพฉากนี้ พวกมันต่างร้องลั่นด้วยความตื่นตกใจ

“พี่ใหญ่ขุนพลศิลาไม่!”

แต่ขุนพลศิลาหามีเจตนาหยุดยั้งใดๆไม่

เย่หยวนทราบดี ศูนย์รวมพลังชีพทั้งหมดของยักษ์หินเหล่านี้คือกลางหน้าผาก

ความผันผวนแปรปรวนกระเพื่อมขึ้นกลางเวหา เย่หยวนในยามนี้ประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับความตาย!

“แย่แล้ว! เจ้าบ้านั้นกำลังจะระเบิดตัวเอง! ช่างเป็นอนุภาพที่น่ากลัวนัก! พี่ใหญ่รีบหนีออกมาเร็ว!”

อิ้งหมัวหู่ที่ตะโกนสุดเสียงลั่น สีหน้าของเขาซีดขาวเปลี่ยนสีแทบไม่ทัน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ