เปรี้ยงง!
สุดพิโรธจุกอกจนล้นปรี่ เฉินหย่งหนานทุกฝ่ามือฟาดโต๊ะตรงหน้าจะแหลกเป็นฝุ่นผงในพริบตา
ความอัปยศนี้ที่เย่หยวนมอบให้ นับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในชั่วชีวิตของเขา
“ท่านพี่เฉิน ไอ้บัดซบเย่หยวนมันจะมากเกินไปแล้ว! ทั้งๆที่เบื้องหน้าเป็นถึงเจ้าเมือง แต่กลับไว้ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย!”
หวังซูโมโหจนแทบพ่นไฟออกจากปากไม่ต่างอยู่เคียงข้าง
กล่าวกันตามตรง หวังซูเองก็รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่แผ่สะพัดออกจากเย่หยวน
สายตาที่เย่หยวนกวาดมองและจับจ้องสรรพสิ่ง สิ่งนั้นกลับไม่สามารถเข้าใจได้เลย
ราวกับว่าเย่หยวนมองผ่านอ่านทะลุทุกสิ่งได้
ทว่าในตอยสุดท้าย เย่หยวนก็ยังไม่ลงมือปิดฉากตระกูลหวัง หรือเป็นไปได้ไหมว่า เขาเองก็ยังมีความเกริ่นเกรงตระกูลหวังอยู่บ้าง?
ตระกูลหวังเป็นตระกูลใหญ่มิเป็นสองรองใคร เสาะหาทั่วเมืองหมิงหยาง ตระกูลที่สามารถทัดเทียมได้กลับมีน้อยดุจเมฆชั้นบาง
ยิ่งไปกว่านั้น พี่ชายของหวังซูเองก็เป็นถึงรองเจ้าเมืองหมิงหยาง!
ยามนึกถึงในจุดนี้ หวังซูรู้สึกภาคภูมิใจเป็นที่สุด
สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ถึงแม้ไอ้เด็กเหลือขอนั้นจะทำตัวดั่งทองไม่รู้ร้อนหาได้เกรงกลัวอันใด ทว่าลึกๆแล้วมันเองก็ค่อนข้างกังวลเช่นกัน
“หึ! หากแค้นนี้มิได้ชำระ ข้า,เฉินหย่งหนานกลับชั้นต่ำกว่ามนุษย์แล้ว!”
เฉินหย่งหนานกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดโกรธเกลียด
หวังซูคล้ายต้องการกล่าวอะไรสักอย่าง แต่ท้ายที่สุดก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับไป
เฉินหย่งหนานที่เห็นท่าทางอีกฝ่ายก็เข้าใจได้ในทันที และหันไปกล่าวกับพวกตระกูลหลู่และหลินว่า
“เรื่องในวันนี้ ข้าหวังว่าจะมีแค่พวกเราไม่กี่คนที่ตระหนักทราบ อย่าให้รู้ว่ามันกระจายถึงหูคนอื่น!”
สองตระกูลหลู่และหลินเร่งพยักหน้าตอบโดยไวและกล่าวว่า
“ท่านเจ้าเมืองโปรดมั่นใจ ต่อให้ท่านไม่กล่าวตักเตือน พวกเราเองก็ไม่กล้าปริปากเช่นกัน!”
เฉินหย่งหนานโบกมือปัดอย่างไม่สบอารมณ์นัก เห็นดังนั้นพวกตระกูลหลู่และหลินเร่งจากลาออกไป
พวกเขาล้วนทราบดี เฉินหย่งหนานกับหวังซูในหลังจากนี้ จักต้องวางแผนร้ายเพื่อจัดการกับเย่หยวนแน่นอน
หากไม่ตามน้ำดันกล่าวคัดค้านออกไป เกรงว่าท้ายที่สุดกลับเป็นพวกเขาเองที่ขาดทุนครั้งใหญ่
เดิมทีสองอดีตประมุขของตระกูลหลู่และหลินหวังเตรียมตัวเก็บเกี่ยวผลกำไรจากงานเลี้ยงคราวนี้เต็มที่ ทว่าใครจะไปคิด นี่กลับเป็นงานเลี้ยงอำลาสหายเก่าแก่เสียแทน
หลังจากที่คนอื่นๆออกไป หวังซูก็เอ่ยขึ้นว่า
“ท่านพี่เฉิน ไอ้เด็กเหลือขอนั้นมีวิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลางคอยปกป้องอยู่ หากจะฆ่าเขาในเมืองกุยฉางกลับไม่ง่ายอีกต่อไป!”
แม้ว่าเฉินหย่งหยานจะไม่ชอบใจอย่างยิ่งที่ได้ฟังแบบนี้ แต่นี่ก็เป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้
“น้องซู หรือเจ้ามีปแผนรับมือแล้ว? เช่นไร หากไอ้เด็กบัดซบนั้นไม่ตาย เฉินคนนี้ก็ไม่สามารถฝึกปรือได้อย่างสงบสุขเช่นกัน!”
เฉินหย่งหนานกัดฟันกรอด กล่าวขึ้นด้วยความเกลียดชัง
มุมปากของหวังซูกระตุกขึ้นโดยพลัน เผยให้เห็นรถึงรอยยิ้มแปลกๆเร้นซ่อนความน่ากลัวอยู่หลายส่วน และกล่าวว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอตัวนี้ก่อเรื่องไม่น้อยในงานเลี้ยง เช่นนั้นนับเป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับการตายของหวังหลินโปและหวังอวีเซียง โยนความผิดทั้งหมดที่เราก่อขึ้นให้มัน! แต่…”
กล่าวมาถึงจัดนี้ หวังซูเปลี่ยนเป็นกระซิบข้างหูเฉินหย่งหนานแทน พลันได้ฟังดังนั้นเฉินหย่งหนานพลันแสยะยิ้มฉีกเย็นออกมาทันที
“ฮ่าฮ่า! น้องซูช่างฉลาดหลักแหลมดีเยี่ยม! เพียงว่า…วิธีนี้จะไม่โหดร้ายเกินไปใช่ไหม?”
เฉินหย่งหนานเอ่ยถาม
“คิดเล็กคิดน้อยกลับไม่สมกับเป็นบุรุษ ความเด็ดขาดคือสัญลักษณ์แห่งบุรุษเพศ! ตราบใดที่ฆ่าไอเด็กเหลือขอนั้นได้ เรื่องอื่นยังต้องใส่ใจ?”
หวังซูกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส
…………………………
ณ ปัจจุบัน ขุมกำลังของตระกูลหวังลดลงไปกว่าครึ่ง ตระกูลเหลียงเองย่อมสูญเสียความรุ่งโรจน์ดั่งกาลอดีตเป็นธรรมดา
ไม่กี่วันมานี้ หวังเพียนหลานได้พาลูกสาวของตนกลับไปยังตำหนักตระกูลเหลียง สองแม่ลูกเต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่านไม่เว้นวัน
แต่จู่ๆนางก็ได้รับสาสน์จากผู้ใต้บัญชาของตระกูลหวัง เนื้อความระบุว่า หวังซูเชื้อเชิญให้นางไปเที่ยวเล่นตระกูลหวังสักรอบหนึ่ง
หวังเพียนหลานเองก็เดินทางเข้ามาจนมาถึงโถงใหญ่ของตระกูลหวังโดยมิได้รู้เรื่องรู้ราวอันใดมาก่อนเลย แต่ยามนี้ก็ค้นพบว่า ทั่วทั้งห้องโถงกลับเต็มไปด้วยผู้คนในชุดอาภรณ์สีขาวเกลื่อนสายตา
เบื้องหน้าของหวังเพียนหลาน นางเห็นเป็นผ้าห่อศพวางไว้อยู่ตรงใจกลาง
ทว่าบุคคลภายใต้ผ้าขาวนี้ นางกลับไม่ทราบเลยว่าเป็นใคร
หวังซูนั่งอยู่บนบัลลังก์อันทรงเกียรติ เขาช้อนสายตามองหวังเพียนหลานด้วยสีหน้าสุดเคร่งขรึม
ซึ่งนางเองก็มิได้โง่จนเกินไป เห็นภาพฉากแบบนี้หัวใจของนางสั่นระรัวหนัก สังหรณ์ไม่ดีพลันผุดขึ้นในทันที
“คุณชายซู นี่…นี่เกิดอะไรขึ้น?”
หวังเพียนหลานไม่รีรอที่จะเอ่ยถาม
ได้ฟังดังนั้นหวังซูค่อยๆลุกขึ้นยืนตรงพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางสุดโศกเศร้าว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...