หลายปีที่ผ่านมา มู่หลินเสวียยังคงรูปลักษณ์ดังเดิมเสมือนเจ้าหญิงนิทรากำลังรอให้ใครสักคนมาปลุก
แต่ตลอดที่ผ่านมา เย่หยวนพยายามมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทว่ากลับไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง
เย่หยวนทราบดีว่ากายหยาบด้านนอกที่งดงามนี้ ภายในไร้ซึ่งร่องรอยแห่งชีวิตหลงเหลืออยู่แล้ว
มีเพียงจิตใต้สำนึกและจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังสูญสลายเท่านั้นในปัจจุบัน
ปุ๋ ปู๋ ปุ๋…
ทันใดนั้นเองมวลแสงสีเย็นพลันสว่างไสวขึ้นจากบริเวณอันมืดมนรายล้อมรอบตัวมูหลินเสวียเสมือนแสงเทียนไออุ่น
แสงสีเย็นเหล่านี้ประดุจแสงจากเทียนไข โดยมีมู่หลินเสวียเป็นจุดศูนย์ กลุ่มแสงเหล่านั้นกำลังโอบอุ้มนางเอาไว้
“นี่คือไฟแห่งวิญญาณ สามารถซ่อนเร้นกลิ่นอายของสาวน้อยนางนี้และรักษาจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนางมิให้สูญสลายไป ตราบใดที่มีศิลาชีวิตนิจนิรันดร์คอยหล่อเลี้ยงอยู่ ไฟแห่งวิญญาณก็จะไม่มีวันดับ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหวูเฉิน เสมือนก้อนหินขนาดยักษ์หล่นทับลงมาในใจเย่หยวน
หลายปีมานี้ เย่หยวนรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก
“ท่านอาวุโส ด้วยปริมาณศิลาชีวิตนิจนิรันรันดร์ที่มี ไฟแห่งวิญญาณจะลุกโชกช่วงเช่นนี้อีกนานเท่าใด?”
เย่หยวนเอ่ยถาม
หวูเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมายามได้ยินเช่นนั้น และกล่าวว่า
“ไม่รู้ว่าสาวน้อยนางนี้ได้รับพรอันใดมา แต่ค่อนข้างคุ้มที่จะเสี่ยงเพื่อเสาะหาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์มา หากให้ศิลาชีวิตนิจนิรันดร์เหล่านี้แก่นาง มันจะช่วยรักษาจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และจิตใต้สำนักของนางมิให้สลายไปอีกสองร้อยปี”
เย่หยวนขมวดคิ้วถักแน่นกล่าวว่า “แค่สองร้อยปี?”
หวูเฉินพยักหน้าและเอ่ยปากกล่าวต่อว่า
“การจะเก็บรักษาเต๋าหาใช่เรื่องง่าย”
เย่หยวนอดถอนหายใจมิได้ เขากล่าวว่า “เส้นทางนี้มันช่างยากลำบากโดยแท้! การเดินทางครานี้มีโอกาสตายถึงเก้าส่วน ในขณะรอดตายเพียงส่วนเดียว ทั้งหมดเพื่อแลกกับเวลาแค่สองร้อยปี”
สำหรับเซียนอาณาจักรพระเจ้า เวลาแค่สองร้อยปีกลับไวในพริบตา
ในชวงสองร้อยปีนี้ ไม่เพียงเย่หยวนจักต้องฝึกปรือบ่มเพาะพลังเท่านั้น แต่เขายังต้องเสาะหาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์มาเพิ่มเชื้อไฟแห่งวิญญาณจากทุกหนแห่งอีก นีเป็นเรื่องลำบากแสนเข็ญนัก
การเดินทางเข้าสู่ดินแดนนภาบรรพตในครั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า เย่หยวนต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสุดแกร่งรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นต้วนเฟยหรือฉินเทียน หรือแม้แต่ฮั่นเทียนหยาง พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะจัดการยิ่งสำหรับเย่หยวน
แม้เย่หยวนจะมีขุมกำลังแกร่งกล้าพอที่จะต่อกรกับเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าอยู่บ้าง แต่ระหว่างสู้ศึกสัประยุทธ์กลับเป็นอะไรที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเกินไปมากนัก
แล้วครั้งนี้ที่เย่หยวนรอดชีวิตออกมาอย่างปลอดภัย ทั้งหมดต้องขอบคุณยันต์ประกายอัสนีสวรรค์ที่อาจารย์อัสรีคำรนมอบไว้ให้ก่อนออกเดินทาง
มิฉะนั้นแพ้ชนะอย่างไรกลับยากเกินคาดเดาเป็นแน่
อาจารย์อัสนีคำรนมอบยันต์เพิมความเร็วให้แก่เขา เพื่อใช้หนีตายภายใต้สถานการณ์คับขัน
ท่านอาจารย์อัสนีรนเองก็คงไม่คิดไม่ฝันเช่นกันว่า เย่หยวนจะอาศัยยันต์ประกายอัสนีสวรรค์เหล่านี้ เข้าสังหารเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ารวดเดียวถึงสองคน ทั้งยังคว้าศิลานิจนิรันดร์กลับมาได้อีกกว่าเจ็ดก้อน
“เจ้าทำดีที่สุดแล้ว!” หวูเฉินตบไหล่เข้าปลอบโยนเย่หยวน
…
เวลาผ่านไปครึ่งปี
ในช่วงครึ่งปีมานี้ หลู่เฉินยังคงดูดซับพลังงานจากภายในศิลานิจนิรันดร์อย่างต่อเนื่อง
เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าของวังเทวะรัตติกาลฉายยังไม่เคลื่อนไปไหนไกล พวกเขายังคงเฝ้ารอไป๋เฉินดูดซับผลวิญญาณเต๋าจนกว่าจะเสร็จสิ้นดี
เว้นเสียว่า พวกเขาในยามนี้มีสีหน้าท่าทีดูวิตกกังวลยิ่ง
“ผู้อาวุโสสูงสุด ข้าสงสัยเสียเหลือเกิน เมื่อไหร่ท่านประมุขวังจะดูดซับผลวิญญาณเต๋าเสร็จ หาก…คนของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์มาจะทำเช่นไร?”
ไป๋ซิ่วเอยถามทันทีพร้อมสีหน้าดูกังวลยิ่ง
“สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับโชคของเขา แต่ข้าคิดว่าเวลานั้นใกล้มาถึงแล้ว”
เย่หยวนกล่าว
คล้อยหลังได้ฟังแบบนั้น ทุกคนต่างดูสงบลงเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอง รัศมีแรงกดดันสุดน่าสะพรึงขุมใหญ่พลันปรากฏขึ้น สีหน้าการแสดงออกของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก
“ระ-แรงกดดันนี่มันอะไรกัน!? นี่…นี่คือกลิ่นอายของยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด! ปรากฏว่าประมุขวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ถึงกับออกโรงด้วยตัวเอง?!”
ไป๋ซิ่วหน้าถอดสีลงในบัดดล รัศมีแรงกดดันระดับชั้นนี้ล้วนทำให้ผู้คนต่างสิ้นหวัง
สีหน้าเย่หยวนเปลียนไปอย่างมากเช่นกัน คาดไม่ถึงเลยว่าที่ซ่อนของพวกเขาจะถูกเปิดเผยในท้ายที่สุด
“หึ! เหล่าสหายทั้งหลายแหล่ ชาญฉลาดหัวไวดีนัก! ต้องให้ท่านประมุขผูนี้เสาะหาอยู่เสียนาน! เผยตัวออกมาซะ!”
“ออกไป!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...