เมื่อทราบข่าวนี้จากปากของฉินเทียนหยู ฉินเทียนหนานแทบสะดุ้งเฮือกขึ้นทันที
สีหน้าการแสดงออกของฉินเทียนหยูดูบูดบึ้งน่าเกลียดยิ่งเช่นกัน บิดเบี้ยวแทบกลั่นเป็นหยดน้ำได้
เขาพยักหน้าช้าๆ และกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ก่อนหน้านั้นเย่หยวนได้นำผลเก้าทำนองกายาอมตะไปยังหอยุทธเพื่อส่งภารกิจ! ข้าจึงรีบมาหาเจ้าทันทีเมื่อรับทราบข่าว”
“แล้ว…แล้วข่าวของฉินเทียนล่ะ?”
ฉินเทียนหนานเร่งเอ่ยถามทันทีพร้อมท่าทีร้อนใจเป็นกังวล
ตอนนี้เขามิได้สนใจเรื่องฆ่าเย่หยวนอีกต่อไป ชีวิตของฉินเทียนสำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตามแต่ ฉินเทียนหยูกลับส่ายหัวและกล่าวว่า
“ฉินเทียนไร้ซึ่งข่าวคราว ทั้งยังไม่กลับมาเลย!”
ฉินหนานเทียนสีหน้าซีดเผือกลงในทันใดและเอ่ยรำพึงอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า
“เป็นไปไม่ได้! นี่เป็นไปไม่ได้! ฉินเทียนอาจล่าช้าเพราะทำภารกิจกระมัง!”
ฉินเทียนหยูถอนหายใจเฮือกหนึ่งขณะกล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลไป ในความเห็นของข้า เทียนน้อยนาจะประสบปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องภารกิจ จึงทำให้กลับออกมาล่าช้า ลำพังด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างภัยคุกคามแก่เขาได้”
สีหน้าการแสดงออกของฉินเทียนดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาผืนยิ้มแห้งกล่าวว่า
“พี่ใหญ่กล่าวถูกต้องแล้ว ข้า…ข้าไม่ควรกังวลอะไรเช่นนี้ แม้ความแกร่งกล้าของเย่หยวนจะวิปลาสเพียงใด แต่หากต้องการเป็นคู่มือของฉินเทียน มันยังไม่มีคุณสมบัตินั้น”
คู่คิ้วของฉินเทียนหยูกระตุกขึ้น และกล่าวต่อทันทีว่า
“ใช่ มีบางอย่างที่ข้ายังมิได้บอกเจ้า ไม่เพียงเย่หยวนจะทำภารกิจสำเร็จเท่านั้น แต่เขายังทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้แล้ว!”
สีหน้าท่าทีของฉินเทียนหนานพลันแปรเปลี่ยนในบัดดล สังหรณ์ใจที่เพิ่งสงบลงพลันกำเริบขึ้นอีกครา
“เป็นไปได้อย่างไร? ตอนที่มันออกเดินทาง มันเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย แค่สิบปีหรือจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้?”
ฉินเทียนหยูถอนหายใจอีกระลอกพลางกล่าวว่า
“ข่าวนี้เป็นที่โด่งดังทั่วสถานศึกษาหวูเมิ่ง น่าจะเป็นความจริง!”
ฉินเทียนหนานเผยสีหน้าสุดรวนเรหลากอารมณ์ไม่หยุดหย่อน ฉินเทียนหยูค่อยๆลุกขึ้นมาตบไหล่ของเขาเล็กน้อย และกล่าวให้กำลังใจไปว่า
“ใจเย็นเถิด ยามนี้รอดูไปก่อนเป็นดีที่สุด! หากเจ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็ไปตามหาเย่หยวนได้แถวลานประลอง”
…
ตลอดทางที่ผ่านมาจวบจนถึงเรือนพักของเขา เย่หยวนไม่เห็นเซี่ยะจิ้งอวี้เลยแม้แต่เงา ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก
ข่าวการกลับมาของเขาแพร่กระจายทั่วทั้งสถานศึกษาหวูเมิ่งราวกับสายลม กล่าวกันตามตรง เจ้าท้วมน่าจะวิ่งแจ้นมาหาเขาแล้วตอนนี้
“เป็นไปได้ไหมว่า เจ้าท้วมมันจะปลีกวิเวกเก็บตัวอยู่?”
เย่หยวนคาดเดาพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
“ไปดูเจ้านั้นหน่อยดีกว่า!”
เย่หยวนเป็นกังวลไม่น้อยสำหรับเรื่องนี้ จึงตัดสินใจเดินทางไปยังเรือนพักของเซี่ยะจิ้งอวี้
แต่ยังไม่ทันที่เย่หยวนจะก้าวย่างออกไป เขากลับชนเข้ากับซือฝางโดยตรง
“ท่านอาจารย์ซือ?”
เย่หยวนเอ่ยอุทานคล้ายแปลกใจ
เมื่อซือฝางเห็นเป็นเย่หยวน ดวงตาพลันเปล่งประกายขึ้นทันที แต่ก่อนจะหม่นลงอีกคราอย่างรวดเร็ว
“เจ้ากำลังจะไปหาเซี่ยะจิงอวี้ใช่ไหม?”
ซือฝางเอ่ยปากขึ้นถามทันที
หัวใจเย่หยวนสั่นระรัวสังหรณ์ไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าท้วม?”
ซือฝางถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า
“เจ้าตามข้ามาเถอะ!”
…
เมื่อเห็นเซี่ยะจิงอวี้ที่นอนติดเตียงพร้อมจังหวะหายใจอันแผ่วเบา ความพิโรธพลันปะทุอัดแน่นเปี่ยมล้นที่กลางอกเย่หยวน
เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีกลิ่นอายจิตสังหารเย็นสะท้านจากร่างเย่หยวน ซือฝางสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที
สภาพปัจจุบันของเจ้าท้วมดูแย่เป็นอย่างมาก แทบจะไม่มีส่วนใดอยู่ในสภาพสมบูรณ์เลย ใบหน้าของเขาถูกทุบตีจนบิดเบี้ยวเสียรูปมนุษย์ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะนับพัน เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขารู้สึกทรมานมากเพียงใด
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ร่างกายของเจ้าท้วมไม่มีร่องรอยหรือกลิ่นอายของพลังปราณเทวะแม้แต่น้อย!
ด้วยสภาพปัจจุบันของเจ้าท้วม ไม่น่าจะอยู่รอดเกินสองสามวัน
“ใครกันที่ทำเช่นนี้?”
คำกล่าวของเย่หยวนปราศจากระลอกคลื่นอารมณ์ใด ราวกับสิ่งนี้หาได้เกี่ยวข้องกับเขาแม้สักนิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...