สำหรับผลลัพธ์นี้ มันยิ่งกว่าที่หนิงซื่ออวี๋คาดหวังไว้มาก
แม้ต่อหน้าเย่หยวน โอสถฤทัยปราณสวรรค์ขั้นสูงจะไม่ต่างอะไรจากเศษขยะเลย แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ก็ทำให้นางปลื้มใจอย่างมาก
ส่วนในสายตาของซวนอี้ ติงซุน และหนิงฟางหรง ยิ่งตื่นตะลึงเป็นพิเศษ
เพราะพวกเขาทุกคนต่างทราบดีว่า ก่อนที่หนิงซื่ออวี๋จะหนีออกไปเที่ยวเล่นในเขตเมืองชั้นนอก ไม่ว่านางจะพยายามแค่ไหน ก็ยังหลอมกลั่นโอสถฤทัยปราณสวรรค์ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ที่นางวิ่งหนีออกไปเที่ยวเล่นหาใช่เพราะเรื่องนี้?
แล้วนี่เพิ่งผ่านไปกี่วันเอง?
นางกลับหลอมกลั่นได้ขั้นสูงอย่างน่าอัศจรรย์!
หรือเป็นไปได้ไหมว่า นังตัวแสบนี่ออกไปเรียนรู้ทักษะใหม่มาจริงๆ?
เมื่อเห็นสีหน้าอันตื่นตะลึงของอาจารย์ หนิงซื่ออวี๋ยิ่งรู้สึกพึงพอใจยิ่ง
“ท่านอาจารย์ ท่านดูถูกฝีมือของข้าที่พัฒนาขึ้นมามากเกินไป คราวนี้คงไม่คิดว่าข้ามีลูกไม้อีกกระมัง?”
หนิงซื่ออวี๋คลี่ยิ้มกว้างสดใส
คล้อยหลังประหลาดใจอยู่นาน ซวนอี้หล่าวขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตาขึ้นว่า
“เจ้าตัวแสบ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้มาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไฉนฝีมือของเจ้าถึงพัฒนาได้ขนาดนี้ภายในเวลาไม่กี่วัน?”
หนิงซื่ออวี๋กล่าวตอบอย่างสุภาพว่า
“ทั้งหมดเป็นเพราะท่านปรมาจารย์เย่! ท่านไม่มีทางทราบเลยว่า ตอนที่ท่านปรมาจารย์เย่หลอมกลั่นโอสถมันสุดยอดเพียงใด! ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่า จะมีใครบนผืนพิภพที่สามารถหลอมกลั่นโอสถได้ไร้ที่ติปานนี้! ยิ่งไปกว่านั้น…”
เมื่อเริ่มเอ่ยปากถึงเย่หยวน หนิงซื่ออวี๋ก็เริ่มพ้นวาจาพรรณนาออกมาไม่หยุดหย่อน
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน ท่านปรมาจารย์เย่ที่เจ้าเอ่ยถึงคือใครกัน?”
ซวนอี้เอ่ยขัดจังหวะขึ้นทันทีด้วยความสงสัย
หนิงฟางหรงประสานมือกล่าวตอบแทนว่า
“ท่านอาจารย์ เรื่องมันเป็นเช่นนี้…”
จากนั้นหนิงฟางหรงก็เริ่มอธิบายถึงความน่าอัศจรรย์ที่เย่หยวนสามารถรักษาโรคภัยต่างๆที่แสนประหลาดได้ รวมไปถึงเรื่องห้ากลุ่มอิทธิพลที่รวมหัวกันสร้างปัญหาให้อีก ขณะที่ซวนอี้ที่ได้ฟังถึงขั้นตื่นตะลึงไม่หยุดหย่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึงเย่หยวนในตอนที่หลอมกลั่นโอสถชำระไขกระดูกสวรรค์ และช่วยหวางเชียนให้หายจากโรคได้ ทั้งยังเพิ่มพูนพรสวรรค์การบ่มเพาะพลังแก่อีกฝ่ายอีก ซวนอี้ตื่นตะลึงจนอธิบายไม่ถูกแล้ว
การจะขุดรากถอนโคนพิษกร่อนไขกระดูกม่วงเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ พิษโบราณชนิดนี้ไม่สามารถรักษาให้หาย แต่ปรากฏว่าเด็กหนุ่มคนนี้กลับทำได้จริงๆ!
“ข้าไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เขตเมืองทางตอนใต้จะมีบุคคลที่น่าทึ่งขนาดนี้อยู่ด้วย!”
ซวนอี้กล่าวอุทานขึ้นพลางถอนหายใจด้วยความชื่นชม
หนิงซื่ออวี๋เหลือบมองซวนอี้เล็กน้อย นางยิ้มกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านสนใจ…รับศิษย์เพิ่มหรือไม่?”
ซวนอี้มิอาจเก็บซ่อนความคิดนี้ได้เช่นกัน จึงกล่าวตอบไปตามตรงว่า
“นังตัวแสบนี่รู้ทันข้าไปหมด! อัจฉริยะระดับนี้ หากถูกคนอื่นพรากไปนับว่าเสียดายแย่”
แม้จะฟังดูน่าประทับใจมาก แต่ท้ายที่สุดซวนอี้ก็ยังไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองมาก่อน
ด้วยสถานะของเขาที่เป็นถึงจอมเทพโอสถสี่ดาว ต่อให้อีกฝ่ายจะน่าทึ่งเพียงใด แต่สุดท้ายก็เป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาว คุณสมบัติเท่านี้ยังไม่ควรค่าแก่การลดศีรษะของเขาได้
หนิงซื่ออวี๋หัวเราะคิกคักและกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์โปรดมั่นใจ ไม่มีใครสามารถพาตัวเขาไปได้!”
“หื้ม?”
ซวนอี้เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“ท่านลองดูนี่สิ!”
หนิงซื่ออวี๋หยิบโอสถประตูศิลาวายุทั้งสองเม็ดออกมาให้แก่ซวนอี้พินิจมอง ด้วยสายตาที่เฉียบคมของเขา เพียงปราดตาเดียวถึงกับสะดุ้งโหย่วตกตะลึงสุดขีด
“นี่มัน…นี่มันโอสถประตูศิลาวายุขั้นเทวะ!! นี่…อย่าบอกว่าเป็นฝีมือของเขา?”
หนิงซื่ออวี๋พยักหน้าและชี้ไปที่โอสถประตูศิลาวายุขั้นสวรรค์และกล่าวว่า
“เม็ดนี้เป็นครั้งแรกที่เขาหลอมกลั่น ส่วนอีกเม็ดเป็นครั้งที่สอง”
ซวนอี้หยิบโอสถทั้งสองเม็ดขึ้นมาดูโดยละเอียด สีหน้าการแสดงออกของเขาเคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบไม่
ไม่มีอะไรสะท้อนความแข็งแกร่งของนักหลอมโอสถได้ดีกว่าเม็ดโอสถที่หลอมกลั่นอีกแล้ว เขาสามารถมองเห็นได้ถึงความโดดเด่นของโอสถทั้งสองเม็ดนี้ได้ในทันที!
ซวนอี้วางโอสถทั้งสองเม็ดลงอย่างระมัดระวังและกล่าวว่า
“นี่ครั้งแรกของเขาจริงรึ? ไม่…หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ชายหนุ่มคนนี้จะบรรลุถึงสู่ขอบเขตแห่งเต๋าแล้ว! ข-ข้า…แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า จะมีจอมเทพโอสถสามดาวคนใดสามารถบรรลุถึงขอบเขตแห่งเต๋าได้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...