ที่ยอดห้ากิโลเมตรนั้น เล้งชิวหลิงนั้นมีท่าทางเหม่อลอยไม่น้อย ในเวลากว่าเดือนมานี้นางไม่สามารถจะนั่งทำสมาธิได้อย่างจริงจังเลย นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองยังม่านหมอกที่เย่หยวนเข้าไปอยู่เป็นระยะๆ
เมื่อซัวหานเห็นแบบนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าไฟริษยามันปะทุขึ้นในใจ จึงกล่าวว่านางออกมา
เล้งชิวหลิงหันไปมองหน้าซัวหานอย่างไม่คิดจะสนใจ “บางทีเขาอาจจะออกมาได้ก็ได้?”
ซัวหานหัวเราะลั่นกับตัวเอง “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่บางเรื่องทำครั้งแรกอาจจะไม่เป็นไร ครั้งที่สองอาจจะยังพอทน แต่มันคงไม่มีครั้งที่สามอีกแล้ว! เจ้าคิดจริงๆ หรือว่ามันเป็นอัจฉริยะยอดคนมาจากที่ไหน? เป็นแค่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้ากลับคิดเข้าไปในม่านหมอก มันไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตายหรอก!”
เล้งชิวหลิงพยายามเปิดปากพูดแต่ก็ไม่รู้ต้องพูดอะไร
เพราะคำพูดของซัวหานนั้นมันมีเหตุผล ต่อให้นางจะรู้ว่าเย่หยวนเป็นคนที่ลึกลับมากแค่ไหนก็ตาม
แต่ม่านหมอกนี้มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม ไม่ว่าคนเราจะมีวิธีการที่เก่งกาจหรือแยบยลแค่ไหน มันก็ไม่มีทางที่จะกลับออกมาได้เลย
เล้งชิวหลิงเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมนางถึงเป็นเช่นนี้ อาจจะเพราะว่าเขาเข้ามาช่วยเหลือนางไว้อย่างไม่คิดอะไรมากมาย
และเขาก็ต่างจากคนอื่นๆ ที่มักช่วยเหลือนางและพยายามหาโอกาสพูดคุย แต่เย่หยวนนั้นแค่ช่วยนางวไว้เฉยๆ
เล้งชิวหลิงพอจะมองออกว่าตอนที่นางหยิบดาบหยกออกมา เย่หยวนมีท่าทางเหมือนจะปฏิเสธในวินาทีนั้น
ดูท่าเขาเองก็ไม่ได้อยากจะรับมันไว้
ซัวหานหันไปมองเล้งชิวหลิงอีกครา “น้องเล้ง ข้ายอมรับนะว่าเด็กคนนั้นมันมีดี แต่คนแบบมันไม่ตายวันก็ต้องตายพรุ่ง คนแบบนี้มันไม่มีอะไรให้เจ้าคิดถึงหาหรอก”
เป็นเวลานี้เองที่มีเสียงเรียบๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทำให้ทุกคนถึงกับต้องหันไปมอง “โอ้? หมายความว่าไอ้โง่อย่างเจ้ามันมีค่าให้คิดถึงเหรอ?”
ก่อนที่พวเขาทั้งหลายจะเห็นร่างของเย่หยวนค่อยๆ เดินกลับออกมาจากม่านหมอกด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
การปรากฏตัวของเย่หยวนนี้มันทำให้ผู้คนตื่นตระหนกทันที
“น-นี่ตาข้าฝาดไปรึ? ทำไมมันถึงกลับออกมาจากม่านหมอกได้อย่างปลอดภัยกัน?”
“เดี๋ยวนะ! พลังของมันดูจะเปลี่ยนไป! มันไม่ใช่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว!”
“จริงด้วย! พลังของมันรุนแรงขึ้นมา แต่… ข้ากลับมองไม่ออกเลย!”
“มันไปเจออะไรมาในม่านหมอกนั้นกัน? หรือว่าจริงๆ แล้วในม่านหมอกนั้นมันจะมีสมบัติหลบซ่อนอยู่?”
…
ทุกคนต่างมองไปด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อสายตา การที่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าเข้ามาในเขาแห่งถงเทียนได้นั้นมันก็ยังพอทน เดินขึ้นมาถึงยอดห้ากิโลเมตรได้มันก็ยังพอเชื่อ
แต่การที่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าจะเข้าไปในม่านหมอกและออกมาได้อย่างนี้ จะมีใครเชื่อมันลงกัน?
หรือว่าเจ้าหมอนี่จะเป็นอมตะ?
“จ-จ-จ-เจ้า… ออกมาได้อย่างไร? บ้าน่า! ต่อให้เป็นยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ก็ยังออกมาไม่ได้เลยแท้ๆ เจ้าจะออกมาได้อย่างไรกัน?”
เมื่อซัวหานเห็นเย่หยวน เขาก็มีใบหน้าที่ราวกับได้เห็นผีก่อนจะพูดถามออกมาอย่างติดขัด
“ออกมาได้ยังไง? เดินแน่นอนอยู่แล้วสิ!” เย่หยวนบอกด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา
ซัวหานมีใบหน้าที่แสนตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ถูก ทำไมเจ้าหมอนี่มันถึงได้ตายยากตายเย็น?
แดนที่ถูกเรียกว่าพื้นที่ต้องห้าม มันกลับเข้าไปเดินเล่นได้อย่างหน้าตาเฉย
โลกใบนี้มันมีตัวประหลาดขนาดนี้ด้วยหรือ?
ไม่ไกลไปนักเล้งชิวหลิงเองก็มองดูเย่หยวนเช่นกัน ด้วยใบหน้าที่ทั้งโล่งใจและตื่นตระหนกไม่น้อย
นางไม่คิดจริงๆ ว่าเย่หยวนจะออกมาจากม่านหมอกนั้นได้
ชายคนนี้มันช่างเป็นตัวตนที่แสนพิศวง!
ในเวลาหนึ่งเดือนมานี้ เขาได้ไปเจออะไรมาด้านในบ้าง?
เย่หยวนค่อยๆ เดินไปยังซัวหานและบอกด้วยรอยยิ้ม “จำที่ข้าบอกไว้ก่อนไปได้ไหม?”
แม้ว่าเย่หยวนจะมีพลังที่เหนือฟ้ากว่าเก่า แต่ด้วยพลังของอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวของเขา มีหรือที่เขาจะกลัวเย่หยวน?
เมื่อนึกถึงคำของเย่หยวนได้เขาก็ยิ้มรับ “ที่นี่คือเขาแห่งถงเทียน ต่อให้ข้าไม่กล้าโจมตีเจ้า แล้วเจ้าจะกล้าโจมตีข้าไหมล่ะ?”
เย่หยวนแอบหัวเราะพร้อมมองไปทางซัวหาน “งั้น… ลองดูไหม?”
พูดจบเย่หยวนก็ต่อยหมัดออกมาใส่ที่หน้าของซัวหานทันที
ซัวหานไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะกล้าโจมตีเขาเข้าจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...