สภาพท่าทางแบบนี้มันคือราชสีห์ขนทองอย่างแท้จริง
เย่หยวนนั้นตื่นตกใจไม่น้อย คนท่าทางดุร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้หรือที่จะหลอมโอสถขั้นสูงได้?
ชายแก่เองก็หันมามองเย่หยวน สายตาของเขานั้นมันลึกลับจนไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรรู้
หลังจากผ่านไปนานแสนนาน ในที่สุดชายแก่ก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาก่อนด้วยเสียงที่สนั่นราวระฆังยักษ์ “เจ้าหนุ่ม เจ้าเข้าวิหารนักบวชมาเพื่อสิ่งใด?”
เย่หยวนยกมือขึ้นมาความคารวะ “ผู้น้อยนั้นหลงใหลในโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ ที่มาครั้งนี้ก็เพื่อหวังจะเรียนรู้วิชาโอสถของเผ่าอสูร ให้ศาสตร์การโอสถของข้าน้อยได้พัฒนายิ่งๆ ขึ้นไป!”
ชายแก่หัวเราะลั่นกลับมา “ฮ่าๆ เฒ่าคนนี้ย่อมเชื่อในเรื่องนั้น เจ้าและข้านั้นเป็นคนประเภทเดียวกัน! เพื่อการโอสถแล้วเราไม่กลัวที่จะต้องเล่นกับไฟ! แต่ว่าเจ้าน่าจะมีเป้าหมายอื่นอีกใช่ไหมหรือ?”
เย่หยวนได้รู้ว่าชายแก่คนตรงหน้านี้มีนิสัยที่หนักแน่นและตรงไปตรงมา พูดอะไรไม่มีอ้อมค้อมเข้าเรื่องอย่างทันที เมื่อเป็นเช่นนี้เขาย่อมไม่ต้องปกปิดใดๆ อีกต่อไป “จริงๆ แล้วข้ามาเพื่อตามหาน้องชายด้วย!”
เย่หยวนไม่ได้ปกปิดเรื่องราวใดๆ อีกต่อไป บอกไปอย่างตรงๆ ว่าเขาต้องการกำลังของวิหารนักบวชเพื่อให้ช่วยตามหาอิ้งหมัวหู่
หลังจากชายแก่ได้ยินเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “ไม่รู้เลยว่าเจ้าเป็นคนที่ยึดถือสายสัมพันธ์ด้วย! แต่ว่าเจ้าจะไม่คิดว่าเราฝ่ายวิหารจะเสียเปรียบไปหน่อยรึ? เจ้าได้เรียนรู้ศาสตร์โอสถของเผ่าอสูร แถมยังจะใช้อำนาจของวิหารนักบวชเราตามหาน้องชายอีก สุดท้ายแล้วเฒ่าคนนี้จะได้อะไรคืนจากเจ้ากันเล่า?”
เย่หยวนเข้าใจแล้วว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังอยากจะเจรจาต่อรองกับเขา
หากข้อตกลงไม่ลงตัว เขาคงตกอยู่ในอันตรายแน่
เย่หยวนยักไหล่ตอบไป “ที่ข้าจะให้ได้ย่อมเป็นทักษะการโอสถของข้า เหตุผลที่ท่านผู้อาวุโสคิดเจรจากับข้าในวันนี้ย่อมเป็นเพราะท่านเล็งเห็นถึงเรื่องนี้ด้วยใช่หรือไม่?”
ชายแก่หัวเราะลั่น “เจ้าหนุ่ม เจ้าช่างฉลาดเสียจริงๆ ข้าดี๋เชียวไม่ชอบที่จะพูดจาอ้อมค้อมเช่นกัน เจ้าอยู่ในวิหารนักบวชเราห้าพันปีแล้วข้าจะช่วยเรื่องนี้เอง!”
เย่หยวนย่อมเข้าใจได้ทันทีว่าเวลาห้าพันปีนี้มันเท่ากับว่าเขาต้องขายชีวิตของตัวเองให้วิหารนักบวช
เรื่องเช่นนี้เขาย่อมไม่คิดที่จะตอบตกลง
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “ท่านเจ้าวิหาร เย่ผู้นี้มีธุระอื่นต้องจัดการอีกมากและคงอยู่ในวิหารนักบวชนี้เป็นเวลานานขนาดนั้นไม่ได้ หากท่านเจ้าวิหารยืนยันที่จะให้ข้าอยู่ต่อไปจริงๆ เย่คนนี้คงยอมได้อย่างนานที่สุดคือสามร้อยปี!”
สามร้อยปีนั้นคือเวลาที่มากที่สุดเท่าที่เย่หยวนจะให้ได้แล้ว
หากเย่หยวนไม่มีความผูกพันใดๆ กับโลกภายนอก การจะอยู่ที่นี่ถึงห้าพันปีมันก็คงไม่เป็นปัญหาเลย
เพราะที่เห็นนี้ติดกับเทือกเขาเทพอสูร เป็นแหล่งรวมสมุนไพรที่แสนจะอุดมสมบูรณ์
สำหรับเย่หยวนแล้ว ที่แห่งนี้มันคือสรวงสวรรค์ดีๆ นี่เอง
แต่เย่หยวนย่อมรู้ว่าการที่เขาจะอยู่ที่นี่นานถึงห้าพันปีนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย
และตามคาด เมื่อคำพูดนั้นของเย่หยวนถูกเปล่งออกมา ดี๋เชียวก็หน้าดำคล้ำลง “เจ้าหนุ่ม เจ้าล้อข้าเล่นรึไง? สามร้อยปีเราจะเอาเจ้ามาทำอะไร?”
แต่เย่หยวนก็ยังตอบกลับไปอย่างมั่นใจ “สามร้อยปีมันก็มากพอที่ข้าจะชดใช้หนี้นี้ให้วิหารนักบวชแล้ว!”
“หึๆ ช่างเป็นเด็กที่อวดดีเสียจริงๆ! สำหรับเหล่านักบวชแล้วสามร้อยปีมันเป็นได้แค่ชั่วพริบตา เจ้านั้นมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำจริง แต่แค่สามร้อยปีเจ้าจะทำประโยชน์อันใดให้แก่วิหารนักบวชได้? หรือจริงๆ แล้วเจ้าแค่มาก่อกวนเฒ่าคนนี้?”
ดี๋เชียวจ้องมองมาพร้อมด้วยคลื่นพลังอันแสนน่ากลัว
ในวินาทีนั้นเย่หยวนก็รู้สึกราวกับว่ามีเขาลูกใหญ่ตกลงตรงหน้า ตอนนี้แม้แต่จะหายใจยังยากลำบาก
นี่มันไม่ใช่พลังการกดดัน แต่เป็นพลังโจมตีแท้จริง!
ดูท่าแล้วดี๋เชียวคงโกรธจริงๆ
เขารู้สึกเหมือนว่าเย่หยวนเข้ามาแค่จะก่อกวนเขา
สามร้อยปีนั้น ในสายตาของคนทั่วไปแล้วมันเป็นอะไรที่ไม่มีค่าเลย
ภายใต้คลื่นพลังอันรุนแรงนี้ กระดูกทั่วร่างของเย่หยวนเริ่มส่งเสียงร้าวขึ้น สีหน้าของเขานั้นซีดเซียวอย่างถึงที่สุด
แต่เขาก็ยังฝืนพูดออกมา “สามร้อยปีนี้ข้าจะสร้างยอดฝีมือจำนวนมหาศาลให้วิหารนักบวช! หากท่านไม่เชื่อข้าพร้อมที่จะสาบานต่อยอดเต๋าให้โดยมีกำหนดเวลาสามร้อยปี!”
ดี๋เชียวนั้นเหมือนจะสนใจขึ้นมาทันที “เรื่องนั้นย่อมได้ หลังจากสามร้อยปีแล้วหากข้าเห็นว่าเจ้าทำประโยชน์ได้จริง ข้าจะช่วยเจ้าตามหาน้องชายให้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...