มรดกนี้มันช่างมีค่ากับเย่หยวนเสียเหลือเกิน
หลังจากผ่านไปได้หลายปี ในที่สุดความรู้ของเย่หยวนในโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึงจุดสุดยอด
ขณะเดียวกันความรู้โดยรวมในเส้นทางศาสตร์โอสถของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก
ในช่วงเวลานี้ทางวิหารจะหาสมุนไพรระดับแปดระดับก้าวมาให้ และเย่หยวนจะจัดการหลอมพวกมันขึ้นเป็นโอสถ
ยิ่งไปกว่านั้นคือโอสถที่เขาหลอมปรุงขึ้นมามันจะมีคุณภาพขั้นเทวะขึ้นไปทั้งสิ้น
ทางผู้ใหญ่ของวิหารนักบวชนั้นตื่นตะลึงกับเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะตัวดี๋เชียวที่ตอนนั้นเขาไม่เชื่อในตัวเย่หยวนว่าเย่หยวนจะสามารถใช้เวลาแค่สามร้อยปีทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันได้
แต่ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าตัวเขานั้นคิดผิดไปแค่ไหน
วันนี้ดี๋เชียวจึงมาหาเย่หยวนเพื่อขอโทษเป็นการส่วนตัว
“ฮ่าๆ เย่หยวน เจ้าวิหารคนนี้อยากจะมาขอโทษเจ้าเรื่องในวันนั้น! เจ้านั้นทำได้ตามสัญญาอย่างดี ดูสภาพตอนนี้แล้วเป็นวิหารเราจริงๆ ที่ได้รับประโยชน์จากเจ้าอย่างมหาศาล” ดี๋เชียวหัวเราะลั่น
ดี๋เชียวนั้นมีนิสัยที่ตรงไปตรงมา ผิดก็ว่ายอมรับผิด ไม่คิดที่จะลังเลใดๆ ทั้งสิ้น
การที่คนระดับนี้จะมีนิสัยเช่นนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
แม้ว่าวันนี้เขาถึงขั้นคิดจะสังหารเย่หยวน แต่เย่หยวนก็พอเข้าใจความคิดของดี๋เชียวในวันนั้นได้
เพราะยังไงเสียเขาก็เป็นผู้มีสายเลือดมนุษย์
กับนักหลอมโอสถที่ไม่เคยแตะต้องโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว เวลาแค่สามร้อยปีมันช่างสั้นเสียเหลือเกิน
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงยิ้มตอบ “ท่านเจ้าวิหารอย่าได้ทำเช่นนี้เลย เย่ผู้นี้รู้ดีว่าคำขอของตนในวันนั้นมันฟังดูไร้เหตุผลเพียงใด”
ดี๋เชียวยิ้มกว้าง “เป็นเด็กที่เยี่ยมจริงๆ ข้ารู้อยู่แล้วล่ะว่าเจ้านั้นไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย! มีแค้นร้อยต้องตอบแทนพัน จริงๆ ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะได้เรื่องเกี่ยวกับที่เจ้าไหว้วานไว้ด้วย”
คำพูดนี้ทำให้ร่างของเย่หยวนสั่นสะท้าน “เขา… เขาปลอดภัยหรือไม่?”
แต่ดี๋เชียวกลับขมวดคิ้วแน่นทำให้หัวใจของเย่หยวนแทบจะหยุดเต้น
“ปลอดภัยหรือไม่นั้นข้าเองก็ไม่ทราบแน่ แต่… เรื่องราวมันดูจะเลวร้ายกับเขามากกว่าจะดี” ดี๋เชียวบอก
นั่นทำให้เย่หยวนหน้าซีดเผือดลง ดี๋เชียวไม่คิดจะปล่อยให้เขารอคอยใดๆ ค่อยเล่าเรื่องราวที่รับรู้ทั้งหมดออกมา
แม้ว่าการค้นหาคนในดินแดนอันแสนกว้างใหญ่เช่นนี้มันจะเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร แต่แม้ในอาณาจักรเทพอสูรเองเผ่าพยัคฆ์ขาวมันก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่หาได้ยากยิ่ง
วิหารนักบวชนั้นสมควรได้รับชื่อว่าเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในเผ่าอสูรจริงๆ เพราะหลังจากได้รับคำของเย่หยวนมา พวกเขาก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีในการตามสืบข่าวจนเจอได้ในที่สุด
ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้อิ้งหมัวหู่จะได้ไปอยู่ที่เมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใส
เมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสนั้นเรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมเผ่าอสูรสายเลือดเสือ มันมีตระกูลเสือพยัคฆ์มากมายไปรวมตัวกันอยู่ยังเมืองแห่งนั้น
และสายเลือดตระกูลพยัคฆ์ขาว แม้แต่ในมหาพิภพถงเทียนนี้มันก็ยังนับได้ว่าเป็นสายเลือดชั้นสูง
เพราะฉะนั้นแม้จะขึ้นมาบนมหาพิภพถงเทียนแล้ว จริงๆ ความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะของอิ้งหมัวหู่เองก็ไม่ได้ช้าเชื่องเลย
เพียงแค่ว่าหากเอาไปเทียบกับเย่หยวนแล้วมันยังห่างชั้นกันมาก
หลังจากมาถึงดินแดนอสูร มาถึงเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสเขาก็ใช้พลังแห่งสายเลือดออกมาได้เต็มที่และสามารถกลายเป็นยอดอัจฉริยะหนุ่มของเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสได้ในที่สุด
แต่ว่าเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสนั้นมันต่างจากเมืองจักรพรรดิต้นทรราช
เทือกเขาเทพอสูรใกล้เมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสนั้นมันมีกลุ่มกองกำลังที่แข็งแกร่งอยู่ และทั้งสองฝ่ายก็มักจะเกิดการปะทะกันขึ้นเสมอๆ
ไม่นานมานี้ เมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสและกลุ่มกองกำลังนั้นได้มีการปะทะกันอีกรอบ
และอิ้งหมัวหู่ก็เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนั้นด้วย
อิ้งหมัวหู่จับคู่กับยอดอัจฉริยะอีกคนของเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสและทำร้ายผู้นำของอีกฝ่ายจนบาดเจ็บสาหัสปางตาย
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าผู้ที่ถูกทำร้ายปางตายนั้นจะกลับกลายเป็นลูกชายของผู้นำกลุ่มกำลังนั้น ราชันพยัคฆ์สวรรค์
เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นมันจึงเหมือนมีคนไปแหย่รังแตน
ราชันพยัคฆ์สวรรค์นั้นโกรธแค้นและส่งกองกำลังสัตว์อสูรจำนวนมากในการควบคุมออกมาล้อมรอบเมืองจักรพรรดิพยัคฆ์ใสในระดับที่มดตัวเดียวก็ไม่ให้ผ่านเข้าออก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...