จอมเทพโอสถ นิยาย บท 1949

“ไม่ได้การแล้ว ให้ถูกกดดันเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเราคนใดจะหนีไปได้!”

ลู่ซินรู้ดีว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาทั้งหลายย่อมจะไม่สามารถทำการได้สำเร็จแน่

ไม่ว่าจะเป็นทางเย่หยวนหรือเทพถ่องแท้สี่ดาวตรงหน้าเขานี้ต่างก็มิใช่คนอ่อนแอที่จะกดดันได้เลย

เขานั้นต้องหนี นำข่าวกลับไป แล้วให้ท่านหยิงเฟิงส่งยอดฝีมือที่เหนือล้ำกว่านี้มาแทน

คิดมาได้ถึงตรงนี้ลู่ซินก็ได้แต่กัดฟันแน่นตัดสินใจปลดขวางมิติไร้รอยออกอย่างเงียบงัน

‘ฟุบ!’

ร่างของลู่ซินจางหายหลบหนีเข้าไปในความว่างเปล่า

เทพถ่องแท้สี่ดาวนั้นสามารถเดินทางนับหมื่นๆ กิโลเมตรได้ในพริบตา การหนีออกจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปนี้มันย่อมต้องใช้เวลาเพียงแค่พริบตา

เมื่อไป๋ตงเห็นเช่นนั้นเขาก็หัวเราะออกมาก่อนจะก้าวเท้าออกส่งร่างของตนให้หายลับไปเช่นกัน

ที่ด้านข้างเย่หยวนที่มีสัมผัสด้านมิติอันเฉียบคมก็รู้ได้ทันทีในวินาทีที่ขวางมิติไร้รอยถูกปลดออก

เมื่อเห็นว่าไป๋ตงตามศัตรูไปแล้วเย่หยวนจึงได้ตะโกนไล่หลังไป “อย่าให้มันตาย!”

“วางใจเถอะ!”

ในห้วงมิตินั้นมีเสียงของไป๋ตงตอบกลับมาก่อนจะเงียบหายไป

ตอนนี้ภายในจวนเจ้าเมืองมันจึงมีแต่เสียงของเย่หยวนและพวกซูเหมาทั้งสี่ที่เข้าปะทะกันอย่างต่อเนื่อง

“ลู่ซิน เจ้าไม่ได้ตายดีแน่!”

“เจ้าคนชั่วร้ายคิดหนีเอาตัวรอด ชีวิตเจ้าไม่ได้ตายดีแน่นอน!”

ลู่ซินนั้นหนีออกไปอย่างไม่คิดส่งสัญญาณบอกพวกเขาทั้งหลายและมันทำให้พวกเขาทั้งสี่ตกลงสู่สถานการณ์ที่เสียเปรียบมากกว่าเก่า

เมื่อมิติถูกปลดปล่อยการเคลื่อนไหวของเย่หยวนก็ยิ่งรุนแรงรวดเร็วอย่างไม่อาจคาดเดา

การใช้ห้วงมิติผสานเข้ากับกรงเล็บมังกรเอกภพมันทำให้ความได้เปรียบของเขาเพิ่มพูนอย่างมาก

ต่อให้จะเป็นคนทั้งสี่ร่วมมือกันมันก็ยังถูกเย่หยวนกดดันจนไม่อาจจะต้านทานได้แม้แต่น้อย

‘ปัง! ปัง! ปัง!’

หลังจากขวางมิติไร้รอยถูกยกเลิกมันจึงทำให้ภายในจวนเจ้าเมืองเกิดเสียงดังขึ้นสนั่นไปถึงภายนอก

เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอันแสนน่ากลัวจากภายในหนิงเทียนปิงก็ได้แต่ยืนหน้าซีด

ตอนนี้เขาได้เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกตะขิดตะขวงนั้นมันคืออะไร!

การที่เย่หยวนสั่งให้เขาออกมาเตรียมงานนั้นมันเพื่อจะปกป้องตัวเขา

เทพถ่องแท้นั้นมิใช่ตัวตนที่เขาจะต้านทานได้เลย

คนทั้งห้านั้นปะทะกันอย่างรุนแรงรวดเร็วจนค่อยๆ ลอยตัวกันขึ้นมาจากจวนเจ้าเมือง

เย่หยวนนั้นดูราวกับเป็นเทพแห่งสงครามแม้จะถูกยอดฝีมือทั้งสี่เข้ารุมโจมตีเขาก็ยังคงปัดป้องต่อสู้ได้อย่างไม่เสียเปรียบ

ภาพตรงหน้านี้ย่อมถูกเหล่านักยุทธ์ทั้งหลายในเมืองจ้องมองดูด้วยความตะลึง

“นี่ตาข้าฝาดไปหรือ? เทพถ่องแท้สองดาวทั้งสี่คนนั้นกลับไม่สามารถต่อสู้กับท่านเย่หยวนคนเดียวได้?”

“ท่านเย่หยวนนั้นดูเหมือนจะบรรลุกายทองคำระดับหกไปแล้ว แต่กายทองคำระดับหกมันจะแข็งแกร่งได้ปานนี้หรือ?”

“กายทองคำระดับหกนั้นมันเพียงแค่จะทำให้ร่างกายของผู้ใช้แข็งแกร่งกว่านักยุทธ์ในระดับเดียวกันไปไม่มาก มีหรือที่จะแข็งแกร่งได้ปานนี้? ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้”

“ข้าได้ยินว่าในหมู่ผู้บ่มเพาะกายนั้นมีวิชาอีกรูปแบบหนึ่งที่เหนือกว่ากายทองคำนามกายทองคำสัมบูรณ์ นี่มันคือจุดสุดยอดของร่างกายที่ผู้บ่มเพาะกายจะมีได้ หรือว่า… ท่านเย่หยวนนั้นจะขึ้นไปถึงกายทองคำสัมบูรณ์ได้?”

เหล่านักยุทธ์ทั้งหลายต่างเฝ้ามองดูและคาดเดาไปต่างๆ นานา จนในที่สุดก็เริ่มมีคนพูดถึงกายทองคำสัมบูรณ์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้ผู้คนทั้งหลายแตกตื่นกันไปทันที

แน่นอนว่าการบ่มเพาะด้านวรยุทธ์ของเย่หยวนนั้นยังขึ้นไม่ถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ เพราะฉะนั้นเหตุผลเดียวที่จะอธิบายภาพตรงหน้านี้ได้ก็คือเรื่องนี้

กายทองคำสัมบูรณ์ในตำนานนี้ ท่านเย่หยวนกลับสามารถบ่มเพาะมันได้สำเร็จ!

ทุกผู้คนต่างเงยหน้าขึ้นไปมองดูร่างนั้นอย่างชื่นชม

เว้นเสียแต่ว่าพวกเขายังติดสงสัยเรื่องของเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายนี้ว่าเป็นใครมาจากไหน

อีกด้านที่มีการปะทะอันดุเดือดนั้นซูเหยาร้องบอกพวกทั้งสามคน “เลิกโจมตี! เราแยกกันไปสังหารผู้คนในเมืองนี้ มาดูกันหน่อยว่ามันจะสามารถฆ่าสังหารพวกเราทั้งสี่คนพร้อมกันได้หรือไม่!”

เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็ดำมืดลงทันที

เพราะสิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือคนทั้งหลายนี้จะไปก่อความวุ่นวายในเมืองและเขาก็ไม่นึกไม่ฝันว่าคนพวกนี้จะทำการอย่างไม่มีความเป็นคน ขอแค่เพื่อเป้าหมายแล้วจะทำการใดก็ไม่คิดสนใจ

เมื่ออีกสามคนได้ยินเช่นนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออกทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ