จอมเทพโอสถ นิยาย บท 1983

ในหมู่กองมารกระดูกนั้นแม้ว่าเย่หยวนจะตื่นตกใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าแต่ตัวเขาก็ไม่ได้หวาดหวั่น

ด้วยพลังของธงศึกดาวฤกษ์ เขาสามารถทำลายกลุ่มมารกระดูกนั้นให้แหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปได้ง่ายๆ แม้มันจะมีพลังระดับเทพถ่องแท้สามดาวก็ไม่อาจรอดพ้น

ด้วยพลังปราณเทวะของเย่หยวนในเวลานี้การควบคุมธงศึกดาวฤกษ์ของเขานั้นมันย่อมจะแข็งแกร่งและปล่อยพลังออกมาได้รุนแรงแม้จะเป็นเทพถ่องแท้สามดาวก็คงไม่อาจต้านทานรับมือเขาได้

ตัวปัญหาที่แท้จริงนั้นคือเหล่ามารกระดูกระดับเทพถ่องแท้สี่ดาว

แต่เย่หยวนเองก็ไม่ได้กังวลมากมายเพราะด้วยพลังของสองสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ในมือแม้จะเป็นเทพถ่องแท้สี่ดาวเองก็คงไม่อาจเข้าใกล้เขาได้ง่ายๆ

เย่หยวนนั้นแตกต่างจากผู้คนทั่วไปด้วยปราณเทวะที่แสนบริสุทธิ์อันแน่นของเขานี้มันจึงทำให้พลังการต่อสู้ของเขานั้นรุนแรงและแข็งแกร่งอย่างมาก

และการใช้ปราณเทวะออกมาในปริมาณเท่านี้มันไม่เป็นเรื่องใหญ่โตกับตัวเขาเลย

แต่พวกซัวโม่และเฟิงเสี่ยวเถียนย่อมจะไม่คิดเช่นนั้น เมื่อได้เห็นพลังอันร้ายกาจที่เย่หยวนปล่อยออกมาด้วยธงศึกดาวฤกษ์นี้พวกเขาต่างยิ้มเย้ยขึ้นมา

“หึ ใช้พลังของสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ออกมามันก็พอจะช่วยยืดเวลาตายออกไปได้หรอก แต่สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์นั้นย่อมจะกลืนกินพลังปราณเทวะอย่างมากมาย ข้าอยากรู้เสียจริงว่าเจ้าจะทนได้นานสักเท่าใด!”

ซัวโม่ยิ้มเย้ยออกมาแต่ความเจ็บแค้นในหัวใจของเขานั้นย่อมไม่อาจจะปิดบังได้

สองสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์! เขานั้นอิจฉาจนแทบตาลุกไหม้!

“ด้วยการกลืนกินพลังในระดับนี้อย่างมากที่สุดแค่ชั่วโมงเดียวพลังปราณเทวะของมันก็ย่อมจะเหือดแห้งลงแล้ว ถึงเวลานั้นมันคงไม่อาจรอดพ้นภัยอันตรายใดๆ ไปได้” เฟิงเสี่ยวเถียนพูดขึ้นเสริม

แม้ว่าคนทั้งสองจะพูดออกมาเช่นนั้นพวกเขาเองก็ย่อมตื่นตกใจกับเรื่องราวตรงหน้าอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

เพราะตอนนี้มันมีมารกระดูกระดับเทพถ่องแท้สี่ดาวล้อมรอบตัวเย่หยวนอยู่ราวห้าถึงหกตน แต่เย่หยวนนั้นกลับสามารถต่อสู้กลับไปได้อย่างไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อย

พลังฝีมือในระดับนี้มันเหนือล้ำกว่าที่พวกเขาทั้งหลายจะเทียบเคียง

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเย่หยวนก็ไม่ได้แค่รับมือกับมารกระดูกเทพถ่องแท้สี่ดาวทั้งห้าถึงหกตนนั้นเท่านั้น แต่เขายังต้องจัดการกับเหล่ามารกระดูกที่ล้อมรอบอยู่ในทุกทิศทุกทางไปด้วยพร้อมๆ กัน!

ที่ด้านข้างซงหยูนั้นมีใบหน้าที่เจ็บแค้นอย่างมาก

เจ้ากองทัพกระดูกนี้มันไม่มีจุดสิ้นสุด

หากเป็นตัวเขา เขาคงถูกชำแหละร่างไปนานแสนนานแล้ว

ซัวโม่มองดูซงหยูด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ซงหยู เจ้าเองก็มิใช่ว่ามีเรื่องกับเย่หยวนมันมาก่อนหรือ? ตอนนี้เห็นมันใกล้ตายแล้วเจ้าเองก็ควรจะดีใจสิ”

ซงหยูหัวเราะตอบกลับไปพร้อมกัดฟันแน่น ก่อนจะหันไปหาพวกกั๋วจิงหยาง “พวกเจ้าทั้งหลายพร้อมที่จะเข้าไปกับข้าหรือไม่?”

หูเฟยนั้นเป็นคนแรกที่ตอบกลับมาทันทีอย่างหนักแน่น “ชีวิตของข้านี้พี่เย่เป็นคนให้มา เอาคืนให้เขาไปมันจะเสียหายใดกันเล่า?”

“พี่เย่นั้นเป็นผู้มีจิตใจสูงส่ง มีหรือที่ข้าจะมองดูเขาตายไปต่อหน้าได้? ลุยกัน!” กั๋วจิงหยางตอบ

หม่าฉางเองก็พยักหน้ารับด้วยท่าทางหนักแน่น “ข้าไป”

“เอาล่ะ ตามข้ามา!”

พูดจบซงหยูก็นำหน้าพุ่งตัวเข้าใส่กองทัพมารกระดูกทันที

เมื่อพวกซัวโม่เห็นการกระทำของซงหยูและพวก พวกเขาทั้งหลายต่างตื่นตกใจกันไปตามๆ กัน

เจ้าพวกนี้มัน… บ้าไปแล้ว

เย่หยวนผู้นั้นได้ป้อนอะไรให้พวกเขาทั้งหลายนี้กินกันแน่?

ภายในมิติวิเศษนี้ใครกันบ้างที่จะไม่เห็นแก่ตัวจ้องเอาเปรียบผู้อื่น? มีหรือที่จะมีใครกล้าท้าทายชีวิตของตนเสี่ยงมันให้กับผู้อื่น?

แม้ต่างคนต่างจะเรียกกันว่าพวกพ้องแต่สุดท้ายพวกเขาก็มาพ้องกันด้วยความโลภทั้งสิ้น

เมื่อใดที่มันถึงคราวความเป็นความตายจริง พวกเขาย่อมจะทิ้งพวกพ้องใดๆ ไว้เบื้องหลังอย่างไม่คิดลังเล

เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นล้วนเคยทำมาแล้วสิ้น

ระหว่างทางที่เดินทางกันมาพวกเขานั้นมีจำนวนลดลงไปเรื่อยๆ หลายต่อหลายคนที่ถูกกลุ่มคนทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างไม่คิดสนใจเหลียวแล

แต่ตอนนี้พวกซงหยูกลับพุ่งตัวเข้ากลางฝูงมารกระดูกเพื่อช่วยเย่หยวนอย่างไม่คิดสนใจชีวิตของตน

แต่สวรรค์นั้นไม่ได้ใจอ่อนนัก พวกเขาไม่ได้รู้เลยตอนที่เอาแต่นั่งดู

ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ลองเข้าโจมตีดูแม้แต่ซงหยู เทพถ่องแท้สี่ดาวผู้นี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มหาศาลตรงหน้า

เหล่ามารกระดูกนั้นมันมีจำนวนมากเกินไป มากเกินกว่าที่จะจัดการลงได้

ดาบอาวุธใดๆ ที่ติดมือพวกมันขึ้นมานั้นพลุ่งพล่านไปทั่วทุกหนแห่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ