พวกเขาทั้งหลายนั้นได้แต่มองดูภาพตรงหน้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้างพร้อมปากที่อ้าค้าง พวกเขานั้นย่อมไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนนั้นจะยังกล้าท้าทายต่อไป
เพราะในตอนนี้เย่หยวนย่อมจะสามารถพิสูจน์ตัวและไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงใดๆ อีกต่อไปแล้ว
แต่เขานั้นกลับเลือกที่จะท้าทายต่อไป
อีกด้านทางพวกซงหยูนั้นกลับมีสีหน้ากังวลขึ้นมา “พี่เย่ เจ้า…”
เขานั้นกำลังคิดที่จะพูดขึ้นมาแต่เย่หยวนกลับตัดบทเขาเสียก่อน “ข้าสัญญากับเจียนซู่เทาไว้ว่าข้านั้นจะเอากระดูกจักรพรรดิกลับไปให้เขา”
ตอนนี้บนใบหน้าของทั้งซงหยู กั๋วจิงหยาง หม่าฉางและหูเฟยต่างแสดงสีหน้าท่าทางเจ็บแค้นหัวใจออกมา
เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองไร้พลังขนาดนี้มาก่อนเลย!
เย่หยวนนั้นเลือกที่จะท้าทายต่อไป มันเป็นเพราะเจียนซู่เทาจริงหรือ?
ใช่!
แต่พวกเขานั้นย่อมเข้าใจดีว่าอีกเหตุผลใหญ่นั้นมันคือเย่หยวนต้องการจะปกป้องพวกเขาทั้งหลายด้วย!
หากเย่หยวนยอมแพ้เสียตอนนี้พวกเขาทั้งหลายทุกผู้คนคงต้องตายลงด้วยดาบของมารกระดูกเทพสวรรค์ตนนี้
ไม่มีใครจะรอดออกไปได้
แล้วการที่เย่หยวนจะท้าทายมารกระดูกเทพสวรรค์ต่อไปเช่นนี้มันอันตรายหรือไม่?
แน่นอนว่ามันสุดแสนอันตราย!
พวกเขานั้นรู้ถึงวิชาฝีมือของเย่หยวนไม่น้อยและการที่ดาบแรกของมารกระดูกเทพสวรรค์ทำให้เย่หยวนต้องชักเอาดาบสลักกลวงออกมาใช้นั้นมันย่อมจะแสดงให้เห็นได้ว่าสองดาบที่เหลือจะแข็งแกร่งปานใด
มันจะต้องเหนือล้ำจินตนาการแน่!
มารกระดูกนั้นกล่าวขึ้น “เช่นนั้นเจ้าจงไปพักฟื้นปราณของตนก่อน ดาบที่สองนี้มันจะมีพลังที่เหนือล้ำจนเจ้าไม่อาจคาดคิดได้!”
เย่หยวนนั้นไม่พูดตอบอะไรและแค่พยักหน้ารับก่อนจะนั่งลงกลืนโอสถไปหลายเม็ดพยายามฟื้นฟูปราณเทวะให้ร่างให้เร็วที่สุด
แต่คนทั้งหลายนั้นต่างยังคุยกันไม่จบสิ้น เหนือกว่าที่จะจินตนาการ มันต้องเป็นดาบที่รุนแรงเพียงใดกัน?
แต่ไม่นานพวกเขาทั้งหลายก็ได้รู้
หลังผ่านไปได้ครึ่งวันในที่สุดปราณเทวะของเย่หยวนก็ได้ฟื้นฟูกลับมาจนสมบูรณ์ ทำให้คนทั้งหลายต้องประหลาดใจไปตามๆ กัน
ความเร็วในการฟื้นฟูนี้มันจเหนือล้ำเกินไปหรือไม่?
เย่หยวนนั้นเดินขึ้นมายืนต่อหน้ามารกระดูกและยกมือขึ้นคารวะ “ผู้อาวุโส โปรดชี้แนะด้วย”
มารกระดูกนั้นพยักหน้ารับก่อนจะแทงดาบออกมาอีกครั้ง
แม้ว่ากระบวนท่าที่เห็นนี้มันจะไม่ได้แตกต่างจากดาบก่อนหน้าแต่มันกลับทำให้สีหน้าของผู้คนทั้งหลายซีดเซียว
‘อ่อก!’
‘อ่อก!’
‘อ่อก!’
…
แม้ว่าเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาคนอื่นๆ นั้นจะอยู่ไกลออกมาอย่างมากมายแต่แค่พลังจากเศษเสี้ยวของดาบนี้มันกลับทำให้พวกเขาทั้งหลายต้องกระอักเลือดบาดเจ็บไปตามๆ กัน
มันไม่ได้มีคลื่นพลังปราณเทวะที่รุนแรงเหนือฟ้าใดๆ แต่ที่ใดที่ดาบนั้นเคลื่อนผ่านทุกสิ่งอย่างมันกลับหายลับไปสิ้น
หากนี้มันคือมัจจุราชที่ทำลายล้างได้ทุกสิ่ง!
เทียบกันแล้วดาบแรกนั้นมันเหมือนเป็นเพียงแค่เด็กน้อยหัดเดินไปเลย
และที่สำคัญดาบนี้ยังถูกปล่อยออกมาด้วยพลังของแค่เทพถ่องแท้สองดาว
ในเวลานี้พวกเขามั่นใจอย่างมากว่าต่อให้เป็นเทพถ่องแท้ห้าดาวก็คงไม่อาจจะต้านทานพลังของดาบนี้ได้แม้แต่น้อย
ผู้คนทั้งหลายนั้นต่างสงสัยว่าเย่หยวนจะใช้ไม้ไหนในการปัดป้องดาบนี้
ในเวลานั้นเองที่เย่หยวนก็เริ่มลงมืออกมาบ้าง!
‘ดาบสลักกลวง!’
ยังเป็นดาบนี้!
ดาบนี้มันเป็นสุดยอดวิชาดาบก็จริงแต่ด้วยพลังของดาบที่สองนี้มันย่อมไม่สามารถจะเทียบเคียงได้เลย
‘ปัง!’
หลังจากต้านอยู่เสี้ยววินาทีดาบสลักกลวงของเย่หยวนก็ได้ถูกทำลายลง
จากนั้นคลื่นพลังที่เหลือของดาบที่สองก็ได้พุ่งเข้ามาหาเย่หยวนอย่างไม่มีทีท่าจะแผ่วเบาลง
‘โฮ่ก!’
ในเวลานั้นเองก็เกิดเสียงมังกรร่ำร้องขึ้นพร้อมด้วยแสงสีทองจ้าส่องสว่างออกจากร่างของเย่หยวน ส่องสว่างขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า
พร้อมๆ กันนั้นเจ้าเกราะศึกรุ้งเขียวเองก็ปล่อยแสงแสดงพลังของตัวมันออกมาอย่างสุดขีด
“เกราะมังกรลับเต๋านิพพาน!”
เย่หยวนร้องตะโกนพร้อมใช้ร่างกายรับดาบนั้นของมารกระดูกไว้
‘ปัง!’
เสียงการปะทะดังสนั่นขึ้นจนทำให้มิติสั่นคลอน
ดาบสีขาวสนิทและลูกเกราะสีทองนั้นเข้าปะทะกันอยู่กลางมิติอย่างไม่มีใครคิดจะยอมใคร
นั่นทำให้คลื่นพลังของทั้งสองฝ่ายนั้นค่อยๆ เบาบางลง
แต่เป็นเกราะทองของเย่หยวนที่สูญเสียพลังไปอย่างรวดเร็วกว่า
เมื่อทุกคนได้เห็นเช่นนั้นพวกเขาต่างก็ตื่นตะลึงจนไม่อาจหุบปากที่อ้าค้างนั้นได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...