จอมเทพโอสถ นิยาย บท 1999

แม้ว่าที่แห่งนี้มันจะเป็นถนนที่คนพลุกพล่านแต่มันกลับเงียบงันมีเพียงเสียงอันหวานนุ่มนั้นที่ลอยมาตามลม

หลู่ซือยีค่อยๆ เดินใกล้เข้ามาราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่ลงมาเยี่ยมเยือนโลกหล้า

มันเป็นความงดงามที่ทำให้ผู้คนลืมหายใจ

แต่ในสายตาของเย่หยวนแล้วนางผู้นี้มันไม่ได้ต่างอะไรจากนางมาร

เป็นเพียงหนังที่หุ้มกระดูก!

นางนั้นไร้ซึ่งหัวใจ เย็นชาดูถูกชีวิตทั้งหมดภายใต้ตัวนาง

ในสายตาของนางแล้วตัวเองเป็นสวรรค์ไม่ยอมให้ใครต่อต้านใดๆ

‘นายท่าน รีบหนีไป! หากยังไม่ไปอีกมันจะสายเกินไปแล้ว!’

‘นายท่าน ข้ามีนามว่าเจียงหมิง!’

คำพูดทั้งหลายของเจียงหมิงนั้นมันยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา

นี่มันเป็นครั้งแรกที่เย่หยวนนั้นได้พบเจอเด็กหนุ่มนามเจียงหมิงผู้นี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความชื่นชมที่เจียงหมิงนั้นมีต่อตัวเขาอยู่เต็มหัวใจ

เขานั้นเป็นเด็กหนุ่มแสนบริสุทธิ์คนหนึ่ง

แต่นางมารผู้นี้กลับฆ่าสังหารเขาลงง่ายๆ!

อภัยให้ไม่ได้!

นั่นทำให้จิตสังหารเย็นเยือกพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งถนนกว้างในทันที

บนถนนนั้นราวกับว่าอากาศโดยรอบมันค่อยๆ เย็นลงอย่างกะทันหัน

หลู่ซือยีมองดูใบหน้านั้นของเย่หยวนด้วยความสมเพช “เจ้าโกรธแค้นแทนคนชั้นต่ำผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ? น่าสมเพชจริง! ดูท่าเจ้าเองก็คงไม่ได้เก่งกาจกว่ามันมากนัก ไม่อาจช่วยเหลือตัวมันได้และย่อมจะไม่อาจเอาตัวรอดได้”

เย่หยวนนั้นไม่อาจจะช่วยเหลือได้นั้นมันเป็นเพราะว่าดาบนั้นมันฟันลงมาได้อย่างถูกจังหวะ

ตอนนั้นหัวใจของเขานั้นมันเปี่ยมไปด้วยเรื่องของพวกอิ้งหมัวหู่ทั้งหลายและย่อมจะพุ่งตัวออกไปด้วยแรงที่มีทั้งหมดสิ้นแต่ดาบนั้นกลับพุ่งไปยังทางที่เขาเพิ่งจากตัวเย่หยวนจึงไม่อาจจะมีเวลาเหลือไปช่วยเจียงหมิงได้อย่างทันท่วงที

ต่อให้เขาจะรู้แนวคิดแห่งห้วงมิติแต่มันก็สายเกินจะลงมือ!

สายตาทั้งสองของเย่หยวนนั้นเย็นเยือกก่อนจะกล่าวถามขึ้น “ในสายตาของเจ้าแล้วผู้คนมันไม่ได้ต่างไปจากใบไม้ใบหญ้าเลยหรือ? เจ้าหมายหัวข้าแต่เหตุใดต้องไปทำร้ายคนไม่เกี่ยวข้องด้วย!”

อิ้งหมัวหู่ตอบกลับมาด้วยหน้าเรียบๆ “แค่คนชั้นต่ำผู้หนึ่ง หากมันตายก็ถือว่ามันตาย เจ้าจะทำอะไรได้? ที่สำคัญมันเองก็หาใช่ผู้บริสุทธิ์ มันนั้นพยายามบอกให้เจ้าหนีไป การให้ข้อมูลเช่นนั้นมันย่อมหมายความว่าเป็นการช่วยเหลือกบฏแล้ว!”

ที่ด้านข้างเติ้งเหว่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “ช่างเป็นคนที่โง่เง่า! มันแสนที่จะอ่อนแอแต่ยังกลับคิดเห็นใจคนชั้นต่ำ ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าบ่มเพาะขึ้นมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร”

ไต้หยางเองก็หัวเราะลั่นออกมา “เด็กคนนี้มันมีความเร็วการบ่มเพาะที่รวดเร็ว ข่าวของเราบอกมาว่ามันอาจจะบ่มเพาะขึ้นถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้แล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าแท้จริงมันจะขึ้นมาถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้สามดาว แต่ทว่า… มันก็ยังไร้ค่า!”

หลู่ซือยีพูดขึ้น “ไม้ที่ไร้ราก บัวที่ไร้น้ำ ไม่ว่ามันจะบ่มเพาะขึ้นมาสูงส่งเท่าใดมันก็เปล่าประโยชน์”

คนทั้งสามนี้ต่างพูดดูถูกขึ้นมาตามๆ กันจนทำให้เหล่าคนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทั้งหลายต้องแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวออกมาเมื่อได้ยิน

ในสายตาของเหล่าเด็กแห่งสวรรค์ทั้งหลายนี้แล้วพวกเขาทั้งหลายย่อมจะไม่มีค่าใด

จะมีมากขึ้นหนึ่งหรือน้อยลงหนึ่งมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใดๆ ที่เหล่าคนทั้งหลายนี้จะสนใจ

แน่นอนว่าทั้งมหาพิภพถงเทียนมันก็เป็นเช่นนี้สิ้น

เพียงแค่ว่าหลังจากพวกเขาได้สัมผัสถึงการปกครองของเย่หยวนแล้ว พวกเขาต่างเหมือนได้เห็นสวรรค์อยู่ตรงหน้า

เย่หยวนนั้นแตกต่างจากเหล่ายอดคนผู้สูงส่งทั้งหลายนี้อย่างมาก!

เขานั้นจะโกรธแค้นต่อชีวิตอันไร้ค่าของสามัญชน

ความรู้สึกอันแสนอบอุ่นเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

เย่หยวนจ้องมองไปยังหลู่ซือยีด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อ “พวกเจ้าทั้งสามนั้นเอาแต่ว่าคนอื่นชั้นต่ำอย่างนั้นอย่างนี้ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นมังกรเป็นหงส์มาจากไหน? ในสายตาของข้าแล้วพวกเจ้าทั้งหลายเองก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเศษหินข้างทาง!”

คำพูดของเขานี้มันเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

หลู่ซือยีนั้นยังคงตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ท่าทางโกรธเคือง “คิดจะมาต่อปากต่อคำกับข้าอย่างนั้นหรือ? ศักดิ์ศรีใดๆ ของเจ้านั้นมันก็ช่างไร้ค่า เอาล่ะ ข้าจะถือว่าให้โอกาสเจ้า หากเจ้าชนะพวกเราได้สักคนข้าจะพาคนของข้ากลับไป”

ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิห้าสวรรค์นั้นไม่ได้เข้าใจอะไรในตัวเย่หยวนมากมาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ