แม้ว่าที่แห่งนี้มันจะเป็นถนนที่คนพลุกพล่านแต่มันกลับเงียบงันมีเพียงเสียงอันหวานนุ่มนั้นที่ลอยมาตามลม
หลู่ซือยีค่อยๆ เดินใกล้เข้ามาราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่ลงมาเยี่ยมเยือนโลกหล้า
มันเป็นความงดงามที่ทำให้ผู้คนลืมหายใจ
แต่ในสายตาของเย่หยวนแล้วนางผู้นี้มันไม่ได้ต่างอะไรจากนางมาร
เป็นเพียงหนังที่หุ้มกระดูก!
นางนั้นไร้ซึ่งหัวใจ เย็นชาดูถูกชีวิตทั้งหมดภายใต้ตัวนาง
ในสายตาของนางแล้วตัวเองเป็นสวรรค์ไม่ยอมให้ใครต่อต้านใดๆ
‘นายท่าน รีบหนีไป! หากยังไม่ไปอีกมันจะสายเกินไปแล้ว!’
‘นายท่าน ข้ามีนามว่าเจียงหมิง!’
…
คำพูดทั้งหลายของเจียงหมิงนั้นมันยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา
นี่มันเป็นครั้งแรกที่เย่หยวนนั้นได้พบเจอเด็กหนุ่มนามเจียงหมิงผู้นี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความชื่นชมที่เจียงหมิงนั้นมีต่อตัวเขาอยู่เต็มหัวใจ
เขานั้นเป็นเด็กหนุ่มแสนบริสุทธิ์คนหนึ่ง
แต่นางมารผู้นี้กลับฆ่าสังหารเขาลงง่ายๆ!
อภัยให้ไม่ได้!
นั่นทำให้จิตสังหารเย็นเยือกพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งถนนกว้างในทันที
บนถนนนั้นราวกับว่าอากาศโดยรอบมันค่อยๆ เย็นลงอย่างกะทันหัน
หลู่ซือยีมองดูใบหน้านั้นของเย่หยวนด้วยความสมเพช “เจ้าโกรธแค้นแทนคนชั้นต่ำผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ? น่าสมเพชจริง! ดูท่าเจ้าเองก็คงไม่ได้เก่งกาจกว่ามันมากนัก ไม่อาจช่วยเหลือตัวมันได้และย่อมจะไม่อาจเอาตัวรอดได้”
เย่หยวนนั้นไม่อาจจะช่วยเหลือได้นั้นมันเป็นเพราะว่าดาบนั้นมันฟันลงมาได้อย่างถูกจังหวะ
ตอนนั้นหัวใจของเขานั้นมันเปี่ยมไปด้วยเรื่องของพวกอิ้งหมัวหู่ทั้งหลายและย่อมจะพุ่งตัวออกไปด้วยแรงที่มีทั้งหมดสิ้นแต่ดาบนั้นกลับพุ่งไปยังทางที่เขาเพิ่งจากตัวเย่หยวนจึงไม่อาจจะมีเวลาเหลือไปช่วยเจียงหมิงได้อย่างทันท่วงที
ต่อให้เขาจะรู้แนวคิดแห่งห้วงมิติแต่มันก็สายเกินจะลงมือ!
สายตาทั้งสองของเย่หยวนนั้นเย็นเยือกก่อนจะกล่าวถามขึ้น “ในสายตาของเจ้าแล้วผู้คนมันไม่ได้ต่างไปจากใบไม้ใบหญ้าเลยหรือ? เจ้าหมายหัวข้าแต่เหตุใดต้องไปทำร้ายคนไม่เกี่ยวข้องด้วย!”
อิ้งหมัวหู่ตอบกลับมาด้วยหน้าเรียบๆ “แค่คนชั้นต่ำผู้หนึ่ง หากมันตายก็ถือว่ามันตาย เจ้าจะทำอะไรได้? ที่สำคัญมันเองก็หาใช่ผู้บริสุทธิ์ มันนั้นพยายามบอกให้เจ้าหนีไป การให้ข้อมูลเช่นนั้นมันย่อมหมายความว่าเป็นการช่วยเหลือกบฏแล้ว!”
ที่ด้านข้างเติ้งเหว่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “ช่างเป็นคนที่โง่เง่า! มันแสนที่จะอ่อนแอแต่ยังกลับคิดเห็นใจคนชั้นต่ำ ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าบ่มเพาะขึ้นมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร”
ไต้หยางเองก็หัวเราะลั่นออกมา “เด็กคนนี้มันมีความเร็วการบ่มเพาะที่รวดเร็ว ข่าวของเราบอกมาว่ามันอาจจะบ่มเพาะขึ้นถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ได้แล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าแท้จริงมันจะขึ้นมาถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้สามดาว แต่ทว่า… มันก็ยังไร้ค่า!”
หลู่ซือยีพูดขึ้น “ไม้ที่ไร้ราก บัวที่ไร้น้ำ ไม่ว่ามันจะบ่มเพาะขึ้นมาสูงส่งเท่าใดมันก็เปล่าประโยชน์”
คนทั้งสามนี้ต่างพูดดูถูกขึ้นมาตามๆ กันจนทำให้เหล่าคนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทั้งหลายต้องแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวออกมาเมื่อได้ยิน
ในสายตาของเหล่าเด็กแห่งสวรรค์ทั้งหลายนี้แล้วพวกเขาทั้งหลายย่อมจะไม่มีค่าใด
จะมีมากขึ้นหนึ่งหรือน้อยลงหนึ่งมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใดๆ ที่เหล่าคนทั้งหลายนี้จะสนใจ
แน่นอนว่าทั้งมหาพิภพถงเทียนมันก็เป็นเช่นนี้สิ้น
เพียงแค่ว่าหลังจากพวกเขาได้สัมผัสถึงการปกครองของเย่หยวนแล้ว พวกเขาต่างเหมือนได้เห็นสวรรค์อยู่ตรงหน้า
เย่หยวนนั้นแตกต่างจากเหล่ายอดคนผู้สูงส่งทั้งหลายนี้อย่างมาก!
เขานั้นจะโกรธแค้นต่อชีวิตอันไร้ค่าของสามัญชน
ความรู้สึกอันแสนอบอุ่นเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
เย่หยวนจ้องมองไปยังหลู่ซือยีด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อ “พวกเจ้าทั้งสามนั้นเอาแต่ว่าคนอื่นชั้นต่ำอย่างนั้นอย่างนี้ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นมังกรเป็นหงส์มาจากไหน? ในสายตาของข้าแล้วพวกเจ้าทั้งหลายเองก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเศษหินข้างทาง!”
คำพูดของเขานี้มันเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
หลู่ซือยีนั้นยังคงตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ท่าทางโกรธเคือง “คิดจะมาต่อปากต่อคำกับข้าอย่างนั้นหรือ? ศักดิ์ศรีใดๆ ของเจ้านั้นมันก็ช่างไร้ค่า เอาล่ะ ข้าจะถือว่าให้โอกาสเจ้า หากเจ้าชนะพวกเราได้สักคนข้าจะพาคนของข้ากลับไป”
ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิห้าสวรรค์นั้นไม่ได้เข้าใจอะไรในตัวเย่หยวนมากมาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...