เย่หยวนมองดูหยุนยี่ด้วยสีหน้าแววตาชื่นชม
ผู้ใดที่ไม่ ‘โง่’ หรือ ‘บ้า’ ย่อมไม่อาจจะมองเห็นเป้าหมายที่แท้จริงของเขาได้
เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายนั้นมันเห็นเพียงแค่ประโยชน์ที่ถูกวางไว้ตรงหน้า แน่นอนว่าความสำเร็จใดๆ ในวิชาโอสถของพวกเขามันก็ย่อมจะมีขีดจำกัด
พวกเขานั้นอวดอ้างว่าตนเองแสนฉลาดหลักแหลม แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขานั้นโง่จนเหลือเชื่อ
มีเพียงแค่ ‘คนโง่’ และ ‘คนบ้า’ ในสายตาของพวกเขาทั้งหลายเท่านั้นที่จะสามารถก้าวเข้าสู่เต๋าโอสถได้อย่างแท้จริง
ถามว่าพรสวรรค์นั้นมันสามารถทำได้ทุกสิ่งอย่างจริงๆ หรือ?
ความเชื่อเช่นนั้นมันเป็นความเชื่อที่โง่เง่าที่สุด!
หากไม่มีความพยายามอันมหาศาล หากไม่มีจิตใจที่มุ่งมั่นแน่วแน่ หากไม่มีความหนักแน่นที่เหนือล้ำ มีหรือที่เต๋านั้นจะเปิดรับผู้คน?
“ข้านั้นมีแค่ความพยายามและพื้นฐาน สองคำนี้เท่านั้นที่จะสอนศิษย์ พวกเจ้าจงจำมันไว้ให้ดี” เย่หยวนกล่าว
หยุนยี่และหยางซวนจึงก้มหน้าลงรับทันที “ขอรับท่านอาจารย์ ศิษย์จะจำไว้”
แต่มีหรือที่เย่หยวนจะไม่เข้าใจความคิดที่แท้ของคนทั้งสองนี้? เขาจึงกล่าวขึ้น “การเดินทางบนเส้นทางเต๋านั้นมันจะมีทางลัดใด? หากเจ้าถามว่าอาจารย์ของเจ้านี้ก้าวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร อาจารย์ของเจ้าผู้นี้ก็คงบอกได้แค่ว่าเต๋านั้นมันอยู่ใต้เท้าที่เราย่ำเดินกัน! การคลุกตัวลงกับดินนั่นแหละคือหนทางแห่งเต๋า! พวกเจ้าเองก็น่าจะได้เห็นว่าซืออวี๋สามารถทำอะไรได้บ้างในงานชุมนุมโอสถเมฆา แต่พวกเจ้านั้นไม่ได้รับรู้ถึงความพยายามอย่างยากลำบากที่นางมี เพราะฉะนั้นหากพวกเจ้าคิดว่าข้าจะสอนสั่งทางลัดวิชาเหนือล้ำแห่งเต๋าโอสถให้แล้ว พวกเจ้าก็จงไปเสียเถอะ ข้านั้นไม่มีอะไรจะสอนพวกเจ้า”
เมื่อคนทั้งสองได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็รีบกล่าวว่าตนมิกล้าอย่างทันที
แต่ตอนนี้ความตื่นตกใจที่มีของพวกเขานั้นมันไม่อาจจะอธิบายเป็นคำพูดใดๆ ได้
พวกเขานั้นไม่อาจจะนึกได้เลยว่าศิษย์พี่ซืออวี๋นั้นต้องใช้ความพยายามหนักหน่วงปานใด เช่นนั้นแล้วอาจารย์ของพวกเขานี้เล่าจะต้องพยายามหนักหนาขนาดไหนจึงก้าวมาถึงจุดที่เขายืนอยู่นี่ได้?
“อาจารย์ ศิษย์เข้าใจแล้ว! จากวันนี้ไปศิษย์จะทิ้งศักดิ์ศรีใดๆ และก้าวเดินตามคำสอนของอาจารย์”
หยุนยี่นั้นไม่ได้คิดจะขัดเย่หยวนแม้แต่น้อย ตัวเขาที่ได้ยินคำพูดนี้มันกลับเป็นเหมือนแสงสว่างที่ส่องลงกลางความคิด
เวลาสิบปีที่เขาฝึกฝนอย่างหนักหน่วงนี้มามันย่อมทำให้เขาจะเข้าใจความหมายในคำพูดของเย่หยวนได้อย่างลึกซึ้ง
หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นจะเป็นไรไปเล่า
“เพียงแค่ว่า… อาจารย์และเทพสวรรค์เปียวหยูได้ถอนตัวจากพันธมิตรแดนใต้แล้ว มันจะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?” หยุนยี่กล่าวขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
เพราะเขาเองก็ไม่ได้คิดจะเข้าข้างเย่หยวนมากมายนัก ตอนนี้ภายในจิตใจของหยุนยี่มันกำลังตีกันอยู่อย่างสับสน
ไม่ว่าอย่างไรเสียคนหนึ่งก็ทวด คนหนึ่งก็อาจารย์
ไม่ว่าจะฝ่ายไหนเขาก็ไม่อยากจะเห็นความพ่ายแพ้
หนิงซืออวี๋จึงยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยิน “พวกเจ้าก็จะประเมินอาจารย์ตนต่ำไป! ไม่นานเจ้าจะได้เข้าใจความเก่งกาจที่แท้ของอาจารย์เจ้าเอง!”
…
สามเดือนผ่านไปในพริบตา!
ในเช้าวันนี้เหล่าเถ้าแก่ร้านทั้งหลายได้มารวมตัวประชุมกันบนห้างโอสถเมฆาอีกครั้ง
ติงเสี่ยวกล่าวขึ้นด้วยท่าทางสบายใจ “สุภาพบุรุษทั้งหลาย เรานั้นทำได้ตามเป้าหมายจริงๆ สามเดือนมานี้เราได้ต่อสู้กันอย่างสวยงาม! เวลานี้ส่วนแบ่งตลาดในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิวาโยนิรันดร์กว่าเจ็ดในสิบได้ตกมาอยู่ในมือเราแล้ว! เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วต่อให้ชิวเทียนหยูผู้นั้นมันจะเก่งกาจปานใดมันก็ไม่อาจพลิกกลับมาได้แน่!”
“ฮ่าๆๆ! ในที่สุดข้าก็จะรายงานความสำเร็จกลับไปได้เสียที! บางทีเราอาจจะใช้เวลาขยี้หอมหาสมบัติไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ” เถ้าแก่หลินกล่าวเสริม
เถ้าแก่อีกคนในที่ประชุมก็ได้พูดขึ้นตาม “หึๆ เรื่องนั้นมันช่วยไม่ได้หรอก ไม่ว่าหอมหาสมบัตินั้นจะเก่งกาจปานใด ไม่ว่าเทพสวรรค์เปียวหยูจะเก่งกาจปานใด ไม่ว่าเย่หยวนนั้นจะเก่งกาจปานใด มันก็ย่อมจะไม่มีทางเทียบเคียงกับพันธมิตรแดนใต้ทั้งหมดทั้งสิ้นได้! ทรัพยากรที่เรามีในมือ หากไม่นับเหล่ายอดค่ายสำนักทั้งหลายแล้วทรัพยากรในแดนใต้นี้มันก็นับว่าอยู่ในมือเราเกือบครึ่ง หากเช่นนี้เรายังจะแพ้ได้อีกข้าก็คงต้องเอาหัวไปโขกเต้าหู้ตายแล้ว!”
ติงเสี่ยวพยักหน้ารับ “ตามข่าวที่ข้าได้ยินมาเวลานี้เหล่ายอดจอมเทพโอสถจากแดนใต้ทั้งหมดทั้งสิ้นมันได้ไปรวมตัวกันและทำการหลอมโอสถขึ้นอย่างมหาศาล ให้เราได้ค้าขายอย่างไม่ต้องกังวลของจะขาดตลาด ไม่นานเราคงได้ใช้ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิวาโยนิรันดร์นี้เป็นศูนย์กลางการค้าขยายเขตอำนาจไปยังเมืองหลวงจักรพรรดิต่างๆ อีกมากมาย”
เมื่อเหล่าเถ้าแก่ทั้งหลายได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่นขึ้นตามๆ กัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...