“หวางหมิง โจวเฉียนฮุ่ย ซูซินหยู! พระเจ้าช่วย คน…คนทั้งหลายนี้คือระดับผู้นำศิษย์ของเหล่าเทพสวรรค์ทั้งสิ้น!”
“ครั้งนี้มันจบแล้ว อาจารย์จี้นั้นคงตายแน่แล้ว! เหล่าผู้นำศิษย์ทั้งหลายนี้แม้คนที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นถึงเทพถ่องแท้เก้าดาว! ใครจะไปสู้ได้?”
“นอกจากเฮ่อเซียงหยุนที่ตายไปก่อนหน้าและอาจารย์ซ่งเฉา เหล่ายอดอัจฉริยะรุ่นใหม่ของชุมเก้าสายต่างมาอยู่กันพร้อมหน้า”
…
คนทั้งหลายนั้นต้องร้องขึ้นมาตาม ๆ กันเมื่อได้เห็นคนทั้งหลายนี้
เพราะว่าเหล่าผู้นำศิษย์ทั้งหลายนั้นมันคือสุดยอดตัวตนในหมู่เทพถ่องแท้เก้าดาวด้วยกัน ในรุ่นเดียวกันแล้วมันย่อมเหนือล้ำกว่าคนทั้งหลายไปอย่างมาก
อาจารย์จี้นั้นยังเป็นแค่เทพถ่องแท้ขั้นกลาง มีหรือที่จะต้านทานคนทั้งหลายนี้ได้?
เฟิงเทียนหยางยิ้มเย้ยขึ้นมาพร้อมหันไปกล่าวกับกู้หง “กู้หง เรื่องของเด็กรุ่นใหม่หวังว่าเจ้าคงไม่คิดจะเข้ามายุ่ง ไม่เช่นนั้น… อย่าได้ว่าเฟิงผู้นี้ไม่เกรงใจ!”
เทพสวรรค์กู้หงหรี่ตาลงมองอย่างเฉยชา “ไม่ต้องกังวลไป เทพสวรรค์ผู้นี้ย่อมไม่คิดจะยุ่งแน่”
หวางหมิงมองดูเย่หยวนด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม “พี่เฟิง จัดการแค่ขยะเช่นนี้มันต้องให้พวกข้าทั้งหลายลงมือพร้อมกันหรือ? แค่หวางหมิงคนนี้มันก็มากพอแล้ว จำเป็นต้องให้ทุกผู้คนจัดการพร้อมกันด้วย?”
เย่หยวนที่ได้ยินจึงหัวเราะขึ้น “ขนะเช่นนี้? หากข้ามองไม่ผิดเจ้าคงเพิ่งจะกลืนกินโอสถยอดแจ่มที่ข้าหลอมไปมิใช่หรือจึงได้ก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้เก้าดาวขั้นสุดเช่นนี้ได้?”
ทางหวางหมิงจึงได้ตอบกลับมาอย่างไม่คิดแยแส “แล้วทำไม? เจ้าไม่ได้ยินพี่เฟิงว่าหรือ? วิชายุทธต่างหากคือเต๋าที่ยิ่งใหญ่! ต่อหน้าวิชายุทธแล้วเจ้ามันก็เป็นได้แค่มดปลวกแสนอ่อนแอ”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็ยิ้มขึ้นมา “ดีจริง ๆ! ดูท่าข้าจะประเมินหนังหน้าคนสุดอุดรต่ำไป มันช่างหนาอย่างไร้ยางอายนัก! ชุมเก้าสายนี้มันทำให้ข้าได้เบิกหูเบิกตาจริง ๆ เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหลายก็โจมตีเข้ามาพร้อม ๆ กัน!”
เย่หยวนนั้นย่อมมองออกได้ว่าคนทั้งหลายนี้กลืนกินโอสถที่เขาหลอมไปจึงสามารถจะก้าวขึ้นมาถึงจุดที่ยืนอยู่ได้ในเวลานี้
บุญคุณเช่นนี้หวางหมิงนั้นกลับไม่คิดสนใจใด ๆ และปัดมันทิ้งด้วยคำพูดไม่กี่คำ มันจะหน้าด้านไปถึงไหนกัน?
โอสถที่เย่หยวนหลอมนั้นมันมีค่ามากกว่าจะใช้เงินมาแลกเปลี่ยนแล้วจบ ๆ กันไป
ต่อให้จะเป็นแค่การพัฒนาเล็ก ๆ น้อย แต่มันก็ยังช่วยย่นเวลานับพันปีให้คนทั้งหลายนี้
“โจมตีพร้อมกัน? เจ้ากลัวจนเสียสติไปแล้ว?” พวกหวางหมิงทั้งหลายนั้นอดหัวเราะขึ้นไม่ได้
ในสายตาของพวกเขาทั้งหลายแล้วไม่ว่าเย่หยวนจะมีวิชาโอสถที่เหนือล้ำปานใด สุดท้ายเมื่อลงสนามรบเขาจะไปมีพลังใด ๆ มากมายได้?
เย่หยวนนั้นยังก้าวขึ้นไม่ถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้ขั้นปลายเสียด้วยซ้ำ แต่ตัวเขากลับกล้ามาอวดอ้างตัวว่าจะสู้เจ็ดต่อหนึ่ง พวกเขาทั้งหลายแทบจะอยากหัวเราะให้ฟันร่วง
“หึ ๆ ดูท่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะยืนอยู่บนจุดสูงส่งจนลืมไปแล้วว่าความสูงส่งที่แท้จริงมันคือสิ่งใด หากเป็นเช่นนั้นก็มาสั่งสอนมันกัน” ซูซินหยูยิ้มขึ้น
พูดจบคนทั้งหลายก็เดินออกมาล้อมรอบเย่หยวนไว้ตรงกลาง
ในการต่อสู้เช่นนี้พวกเขาทั้งหลายย่อมไม่คิดจะกังวลใด ๆ
มันไม่มีความท้าทายใด ๆ แม้แต่น้อย
เพียงแค่ว่าพวกเขาไม่ได้เห็นเลยว่าเทพสวรรค์กู้หงกำลังยิ้มเย้ยตนอย่างมากมายปานใด
เย่หยวนและเฟิงเทียนหยางนั้น ตัวเขาไม่รู้ว่าใครจะเก่งกาจกว่าใคร แต่หากเป็นแค่เย่หยวนกับคนทั้งหลายนี้ ตัวเขาย่อมไม่คิดจะกังวลใด ๆ แม้แต่น้อย
เพราะต่อให้คนทั้งหลายนี้จะเก่งกาจกว่าเฮ่อเซียงหยุน มันก็คงไม่เก่งกว่ากันไปมากมาย
เย่หยวนนั้นเอาชนะเฮ่อเซียงหยุนได้ด้วยการตบ การจะจัดการคนทั้งหลายนี้มันก็คงจะไม่ถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อแน่
“พี่น้องทั้งหลาย เล่นกับมันให้ดี!”
หวางหมิงนั้นยิ้มและพุ่งตัวเข้าไปหาเย่หยวนอย่างรวดเร็ว
มุมปากของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันก่อนจะยกมือขึ้นตบลงใส่ตัวเย่หยวน
คนทั้งหลายที่ได้เห็นเองก็อมยิ้มออกมา คิดจินตนาการไปเองว่าบนใบหน้าของเย่หยวนนั้นเปี่ยมไปด้วยความวิตกกังวล
เมื่ออธิบายมันออกมานั้นมันอาจจะฟังดูช้า แต่ในความเป็นจริงหวางหมิงนั้นขยับจนถึงในช่วงเวลาแค่เสี้ยวพริบตา
แต่ทว่าก่อนที่ฝ่ามือของเขาจะประทับลงที่ไหล่ของเย่หยวน เย่หยวนกลับขยับหลบออกไปด้านข้างเบา ๆ ราวกับว่ามีตาหลัง
“นี่หรือคือวิชายุทธที่เจ้าพูดถึง? พูดจาโอ้อวดมากมายถึงวิชายุทธ ข้าก็คิดว่าจะเก่งกาจกันปานใด ที่แท้มันช่างน่าผิดหวัง” เย่หยวนส่ายหัวออกมาพร้อมถอนหายใจ
ใบหน้าของหวางหมิงนั้นแดงก่ำขึ้นทันที
เพราะความผิดพลาดนี้มันทำให้เขาเสียหน้าอย่างมาก
“ฮ่า ๆ หวางหมิง เจ้าว่าจะเล่นกับมันมิใช่หรือ? เหตุใดเป็นตัวเองที่โดนทำเป็นของเล่นแทนเล่า?” โจวเฉียนฮุ่ยหัวเราะออกมา
“หวางหมิง เจ้าจัดการกับเทพถ่องแท้ขั้นกลางยังไม่ได้! เจ้าทำเราเสียหน้ากันไปหมดแล้วมิใช่หรือ!” ซูซินหยูพูดถามขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...