ภายในวิหารนักบวชในเวลานี้มีเย่หยวนนั่งอยู่สูงและที่ด้านล่างมีผู้คนมากมายยืนก้มหัวให้อยู่ แท้จริงแล้วมันเป็นพวกซินหลัวทั้งหลายรวมไปถึงตัวกงหยางเลี่ยด้วย
ในเวลานี้เหล่านักบวชเจ็ดดาวทั้งหลายต่างแสดงสีหน้าท่าทางสุดแสนละอายออกมา
ซินหลัวก้าวออกมาด้านหน้าคนทั้งหลายและก้มหัวลงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พวกเราทั้งหลายได้ลบหลู่ว่าท่านรองมหาปราชญ์ไป สมควรได้รับโทษตายหมื่นหน!”
กงหยางเลี่ยเองก็กล่าวขึ้นด้วยท่าทางละอาย “กงหยางเลี่ยได้ลบหลู่ท่านรองมหาปราชญ์ไป นายท่านโปรดลงโทษด้วย”
เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายที่ได้ยินถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมอง เพราะแม้แต่ท่านจักรพรรดิเทพสวรรค์เองก็ยังต้องก้มหัวยอมรับผิด!
เรื่องราวเช่นนี้ตั้งแต่เกิดจนอยู่มาแก่เฒ่าปานนี้ พวกเขาทั้งหลายไม่เคยจะได้พบเห็นมัน
แต่คิดไปถึงตรงนี้พวกเขาทั้งหลายเองก็พอจะเข้าใจมัน
ท่านรองมหาปราชญ์ตรงหน้านี้คือคนที่ท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแต่งตั้งขึ้นมากับมือ มีตัวตนเหนือล้ำเสียยิ่งกว่ามหานักบวชขนแดง แน่นอนว่าย่อมจะทำให้จักรพรรดิเทพสวรรค์ก้มหัวให้ได้ไม่ยาก
ด้วยพรสวรรค์และฝีมือที่เย่หยวนแสดงออกมานี้ การจะก้าวล้ำมหานักบวชขนแดงเองมันก็คงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกปัดไล่คนทั้งหลาย “เรื่องจบเท่านี้ พวกเจ้าทั้งหลายสุดท้ายก็เป็นแค่เบี้ยของเฒ่าศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล เหตุใดปราชญ์ผู้นี้ต้องไปเอาเรื่องเอาราวกับพวกเจ้า?”
ทุกผู้คนได้แต่หันไปมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจความหมาย
แต่พวกเขาทั้งหลายเองก็สั่นสะท้านไปทั้งกาย การกล้าจะเรียกมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลว่าเฒ่าศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นมันคงมีแค่ไม่กี่คนที่กล้าเรียกใช่หรือไม่?
หากเป็นก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งหลายย่อมจะเย้ยหยันดูถูกกล่าวว่าเย่หยวนแน่
แต่ในเวลานี้พวกเขาย่อมจะไม่กล้าส่อปากเข้าไปยุ่ง
เรื่องราวระหว่างเทพผู้ยิ่งใหญ่นั้นมันมิใช่เรื่องที่พวกเขาจะไปยุ่งย่ามได้
เพราะในวันหน้าท่านรองมหาปราชญ์นี้ก็คงเติบโตขึ้นไปได้ถึงระดับของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเป็นแน่
แต่ถึงจะกล่าวเช่นนั้นออกมา ทางตัวเย่หยวนก็ไม่ได้เคียดแค้นใด ๆ เฒ่าศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล
เพราะวิชาการโอสถของเผ่าอสูรนั้นมันพิเศษและยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาสามารถเรียนรู้พัฒนาได้
เย่หยวนนั้นได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายจากคนทั้งหลายตรงหน้านี้
เย่หยวนนั้นไม่เคยจะถือว่าตนเองเก่งกาจที่สุด กลับกันตัวเขานั้นมักจะให้ความสนใจทักษะของศัตรูในทุก ๆ การประลอง
แม้ว่าตัวเขาจะดูไม่ได้ลำบากยากเย็นใด ๆ ในการประลองแม้สักครั้ง แต่แท้จริงตัวเย่หยวนก็ได้รับประโยชน์ความรู้ไปทุก ๆ ครั้งที่เขาประลอง
และมันก็เพราะเช่นนี้เองที่เขาสามารถจะสั่งสมความรู้ที่ได้รับช่วยพัฒนาตัวไปได้ไกลกว่าคนอื่น ๆ หลายเท่า
นั่นคือสิ่งที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลอยากจะเห็น
ระหว่างที่คนทั้งหลายกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นมันก็ได้มีคนใช้เข้ามารายงาน “ท่านรองมหาปราชญ์ ฉีเจิ้นแห่งเผ่ากิเลนต้องการขอเข้าพบ”
เมื่อซินหลัวได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น “ฉีเจิ้น? หมายถึงฉีเจิ้นที่ฉีเฉินพูดถึงนั้นหรือ? หรือว่า…เขาจะมาประลองกับท่านรองมหาปราชญ์ตามคำสัญญา?”
ในวันนั้นฉีเฉินได้มาวางเดิมพันกับเย่หยวนเอาไว้ต่อหน้าทุกผู้คน
เรื่องในครานี้ทุกผู้คนต่างรับรู้ดี
เย่หยวนจึงได้หันไปถามขึ้น “ซินหลัว ข้าได้ยินมาว่าเหล่าเผ่าสัตว์เทวะในตำนานนั้นมักจะใช้ชีวิตแยกขาดจากโลกภายนอก เหตุใดวันนี้พวกเขาจึงได้มายังอาณาจักรวิญญาณประจิมกัน?”
ซินหลัวจึงได้ตอบกลับมาด้วยท่าทางเคารพ “แท้จริงแล้วมันเป็นท่านมหานักบวชขนแดงที่เชื้อเชิญเหล่ายอดฝีมือจากโลกเสมือนทั้งหลายให้ส่งเด็กรุ่นใหม่ของตนมาเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความรู้กัน ฉีเจิ้นผู้นี้เองก็มาถึงเพราะคำเชิญนั้น เพียงแค่ว่าไม่ทราบด้วยเหตุใด การเดินทางของเขามันจึงเคลื่อนช้าไปกว่ากำหนด จนเพิ่งมาถึงเมื่อไม่กี่วันก่อน”..Aileen-novel
เย่หยวนเข้าใจทันทีที่ได้ยินพร้อมกล่าว “เช่นนั้นแล้วฉือเซียวเองก็มาเพื่อร่วมงานครั้งนี้?”
ซินหลัวพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนั้น”
เย่หยวนกล่าวขึ้น “เช่นนั้นแล้วทางเผ่ามังกรหรือเผ่าในตำนานอื่น ๆ เล่า?”
ซินหลัวพยักหน้ารับ “ขอรับ ในอดีตที่ผ่านมาเหล่าเผ่าพันธุ์ทั้งหลายนี้ต่างไม่ยอมติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก แต่ในครั้งนี้พวกเขาได้ยอมตกลงว่าจะส่งเด็กรุ่นใหม่ออกมากันไม่น้อย”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดสงสัย
เพราะตั้งแต่ที่มาถึงมหาพิภพถงเทียนหลายร้อยปีนี้เขาไม่เคยจะได้ยินข่าวเรื่องเผ่ามังกรมาก่อน
ในฐานะผู้สืบทอดเผ่ามังกรแล้วเขาย่อมจะอยากทราบถึงเรื่องราวของเผ่ามังกร
เมื่อได้เห็นในเวลานี้ ดูท่าเขาคงพอจะพบกับยอดคนจากเผ่ามังกรได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...