ตูม!
จู่ๆ เมื่อจบเรื่องราวมันก็เกิดแผ่นดินไหวสั่นสะท้านขึ้นมาทั้งมิติ
ภายในมิติสงครามดึกดำบรรพ์นี้มันปรากฏหอคอยสูงล้ำโผล่พ้นขึ้นมาจากแผ่นดินพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า
หอคอยทั้งสามนี้มันมีขนาดแตกต่างกันไป อันหนึ่งนั้นใหญ่สูงกว่าแสนเมตร
ส่วนอีกอันหนึ่งนั้นเล็กน้อยสูงแค่ราวพันเมตร
“ช่างเป็นคลื่นพลังแนวคิดที่เหนือล้ำนัก! นี่หรือว่าจะเป็นหอคอยสมบัติสืบทอด?”
“ต่างตื่นตะลึงจริงๆ อันเล็กที่สุดนั้นมันกลับมีคลื่นพลังที่น่ากลัวที่สุด! หรือว่านั่นจะเป็นหอคอยที่เก็บสมบัติสืบทอดเลิศล้ำ?”
“ข้าล่ะอิจฉาเสียจริง! นี่มันคือที่สุดของที่สุดสมบัติสืบทอดในเผ่ามนุษย์แล้ว!”
…
เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดานับล้านนั้นต่างแสดงสีหน้าอิจฉาริษยาออกมาตามๆ กัน
เพียงแค่ว่าคนที่จะได้เข้าไปถึงวิหารพระเจ้าที่เก็บสมบัติสืบทอดไว้นี้มันมีแค่คนทั้งพันนี้เท่านั้น
แน่นอนว่าสิ่งที่คนทั้งหลายอิจฉามากที่สุดก็คงเป็นวิหารพระเจ้าที่เย่หยวนจะได้เข้าไป
เพราะพวกเขานั้นอยากจะรู้เสียเหลือเกินว่าสมบัติใดที่มันถูกเก็บไว้ในวิหารพระเจ้าอันเล็กที่สุดนี้
“ศึกของยอดอัจฉริยะมันจบลงเท่านี้แล้ว คนที่ไม่ได้รับสมบัติสืบทอดใดๆ นั้นจงกลับไปได้! แต่อย่างไรก็อย่าได้ลืมไปว่าสงครามสิ้นโลกมันได้เริ่มขึ้นแล้ว ไม่มีใครจะไม่เข้าร่วมได้ หากเผ่ามนุษย์เราไม่รวมพลังกันเราจะต้องได้กลายเป็นทาสเผ่าเทวามันเข้าสักวัน! ทุกคน จงจำเรื่องนี้ไว้ให้ขึ้นใจเถอะ!”
บนท้องฟ้ากว้างนั้นเสียงของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ประกาศลงมาทำให้สีหน้าของทุกผู้คนหม่นหมอง
ไม่นานเงาร่างของเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งล้านคนนั้นก็จางหายไป พวกเขานั้นถูกตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ดึงกลับออกไปจากมิติสงครามดึกดำบรรพ์
คนที่เหลือในมิติสงครามดึกดำบรรพ์นั้นมีเพียงแค่ยอดอัจฉริยะทั้งหนึ่งพันเท่านั้น
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าก็เข้าหอคอยไปตามลำดับของตัวเองเถอะ เย่หยวนเจ้าได้อันดับหนึ่งจงเข้าไปยังหอคอยที่เล็กที่สุดนั้น ว่านเจิ้นและพวกคนที่ติดสิบอันดับจงไปยังหอคอยที่สอง คนที่เหลือจนเข้าไปยังหอคอยที่สาม เฒ่าผู้นี้จะให้เวลาพวกเจ้าสิบปี หรือก็คือเวลาพันปีภายในนี้ พวกเจ้าจะเก็บเกี่ยวได้สักเท่าไหร่มันก็ต้องพึ่งความสามารถของตนเองแล้ว!”
พูดจบแล้วเสียงของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้มันก็จางหายไปทันที
เด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งพันคนนั้นได้แต่หันมามองหน้ากันแต่มันกลับมีคนผู้หนึ่งพุ่งตัวออกไปยังหอคอยวิหารพระเจ้าก่อนแล้ว
เย่หยวนนั้นรับหน้าที่ของตนและพุ่งตัวไปยังหอคอยที่เล็กที่สุดตามที่ได้รับฟัง
เมื่อพวกว่านเจิ้นทั้งสิบได้เห็นเรื่องราวนั้นพวกเขาก็แสดงสีหน้าท่าทางอิจฉาริษยาออกมาตามๆ กัน
เดิมทีแล้วคนที่จะได้ไปยังที่แห่งนั้นมันควรจะเป็นหนึ่งในพวกเขานั้น แต่สุดท้ายแล้วมันกลับมีใครที่ไหนไม่รู้โผล่หน้าออกมาจัดการและแย่งชิงมันไป
ในหมู่ยอดอัจฉริยะด้วยกันนั้น พวกเขาทั้งหลายไม่มีใครจะเคยได้ยินนามของเย่หยวนมาก่อน
แล้วเจ้าหมอนี่มันโผล่ออกมาจากหลุมไหน?
เรื่องของโลกการโอสถนั้นเหล่ายอดคนทั้งหลายนี้ย่อมจะไม่ได้สนใจ
เพราะว่าโลกการโอสถมันไร้ค่าใดๆ ในสายตาของพวกเขา
ในสงครามสิ้นโลกที่จะถึงนี้การโอสถใดๆ มันย่อมจะไม่อาจช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ได้มากนัก พวกเขาทั้งหลายจึงไม่ได้คิดให้ความสนใจ
“เลิกเอาแต่มองสักที! มองไปมากกว่านี้ตาเจ้าจะได้หลุดออกจากเบ้าเอา! เวลามันไม่รอใคร รีบๆ ไปบ่มเพาะเต๋าเสียเถอะ!”
เวลานั้นเองที่ว่านเจิ้นก็กล่าวขึ้นก่อนจะพุ่งตัวไปยังหอคอยที่สอง
เวลาพันปีนั้นมันอาจจะฟังดูนานแต่สำหรับการบ่มเพาะเต๋าแล้วมันเป็นเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา
ไม่เช่นนั้นแล้วมีหรือที่เหล่าเฒ่าทั้งหลายที่มีชีวิตมานับล้านๆ ปีจะไม่เก่งกาจเท่าเย่หยวน?
ต่อให้จะเป็นเหล่ายอดอัจฉริยะใดๆ ก็ตามแต่เวลาแค่พันปีนั้นมันไม่ได้นับว่ายาวนานเลย
…
เมื่อก้าวเข้ามาถึงภายในหอคอยนี้เย่หยวนก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังต้นกำเนิดปะทะเข้ากับร่างจนแทบล้มทั้งยืน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...