“สามปีก็ได้ผ่านไปแล้วแต่เจ้าเด็กนั่นมันยังไม่ตื่นขึ้นมา ดูท่ามันคงไม่อาจจะตื่นขึ้นมาได้อีกตลอดกาลแล้ว!”
“หึๆ ดีแล้วที่มันไม่ตื่นขึ้น! หากมิใช่เพราะเจ้าเด็กนั่นแล้วคนอย่างข้าคงไม่มีทางตกจากสิบยอดสมบัติสืบทอด! ดีแล้วที่มันต้องกลายเป็นศพคนเป็นไปเช่นนั้น!”
“ฮ่าๆ พี่ยูก็แค้นมันลึกล้ำเสียจริง! แต่ก็เพราะมันนั้นเราจึงได้มีเวลาบ่มเพาะเพิ่มในมิติสงครามดึกดำบรรพ์ถึงพันปี”
“ใช่แล้ว! ใช่เลย! ฮ่าๆ หากมันได้รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมามันคงได้กระอักเลือดตายแล้วใช่หรือไม่?”
…
ภายในทุ่งสัตว์สวรรค์ของมิติสงครามดึกดำบรรพ์นั้นมันมีชายหนุ่มหลายคนกำลังต่อสู้และพูดคุยเรื่องของเย่หยวนที่ถูกดูดเข้ากระแสห้วงมิติเวลาไป
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นย่อมจะเป็นยูถันจื่อผู้ที่มีความแค้นลึกล้ำกับตัวเย่หยวน
ตั้งแต่ที่เย่หยวนถูกดูลงกระแสมิติเวลาไปมันก็ผ่านไปนานถึงสามปีแล้ว หรือจะเท่ากับเวลาในมิติสงครามดึกดำบรรพ์ถึงสามร้อยปี
มิติสงครามดึกดำบรรพ์นั้นมันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะอย่างแท้จริง
เวลาสามร้อยปีมานี้เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายต่างพัฒนาตัวเองไปอย่างมากล้ำ
กำลังของยูถันจื่อและพวกในเวลานี้มันมากพอที่จะเข้ามาถึงทุ่งสัตว์สวรรค์และไล่ล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายได้
เพราะว่าเย่หยวนหายไปนั้นตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้จึงได้ประกาศข้อยกเว้นและปล่อยให้เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาได้บ่มเพาะกันต่อในมิติสงครามดึกดำบรรพ์
ส่วนเรื่องของโลกภายนอกนั้นเขาได้แต่ต้องไปก้มหัวขอร้องเหล่ายอดคนทั้งหลายให้มาช่วยดูแลเรื่องราวการเคลื่อนไหวของเผ่าเทวา
โชคยังดีที่หลายปีมานี้เผ่าเทวาเองก็ไม่ได้สร้างเรื่องราวใหญ่มากมาย ต่างฝ่ายนั้นต่างอยู่ในสถานะตรึงกำลัง
ในหมู่คนทั้งหลายนั้นชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งก็กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงเย้ยหยัน “ยูถันจื่อ เจ้ามันจะความคิดคับแคบเกินไปแล้ว! หากเย่หยวนไม่กลับมาจริงมันจะเป็นความเสียหายของเผ่าพันธุ์เรามาก! บางทีมันอาจจะถึงขั้นพามนุษย์เราฉิบหายลงได้! ถึงเวลานั้นข้าอยากจะเห็นจริงๆ ว่าเจ้าจะยังหัวเราะได้หรือไม่!”
แต่ยูถันจื่อนั้นกลับตอบมาด้วยสีหน้าไม่สนใจ “ว่านเจิ้น เจ้าไม่ต้องมาขู่ข้าหรอก พูดอย่างกับว่าข้านั้นไม่เคยเจอเผ่าเทวามาก่อน! ให้ข้าบอกเจ้านะ ก่อนที่นายน้อยผู้นี้จะเข้ามายังมิตินี้ข้าได้ปะทะฝีมือกับพวกเผ่าเทวาแล้ว! ขอพูดสั้นๆ ฝีมืองั้นๆ! แน่นอนว่าพวกมันเก่งกาจล้ำกว่าคนธรรมดาไปมาก แต่ต่อหน้าเหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาอย่างเราแล้วมันก็ไม่ได้เก่งกาจใดๆ มากมาย! ไม่ว่าเจ้าเด็กนั่นมันจะตายหรือไม่มันก็ไม่ส่งผลถึงภาพรวมของสงครามหรอก! ที่สำคัญไปกว่านั้นเจ้าคิดว่ามันจะมีคนรอดกลับมาจากกระแสมิติเวลาได้หรือ?”
ยูถันจื่อนั้นไม่คิดจะปิดซ่อนความไม่ชอบใจต่อเย่หยวนใดๆ เพราะว่าตัวเย่หยวนนี้ทำให้เขาไม่อาจจะติดหนึ่งในสิบเอ็ดอันดับและพลาดโอกาสที่จะพัฒนาตัว
“อ่า เช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นข้าเกรงว่า… ข้าคงทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว”
แต่ระหว่างที่ยูถันจื่อกกำลังพูดเยาะเย้นคนอับโชคนั้นเองที่มันกลับเกิดเสียงหนึ่งที่ไม่รู้ว่าดังขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน มันเป็นเสียงที่ไม่รู้ว่ามาจากทิศใดทำให้คนทั้งหลายแทบต้องกระโดดตัวขึ้นด้วยความสะดุ้งตกใจ
ยูถันจื่อหน้าถอดสีก่อนจะร้องกล่าวขึ้นมา “ใคร! ใครกัน! มาล้อเล่นกับนายน้อยผู้นี้ ออกมาให้ข้าเห็นหน้าเดี๋ยวนี้!”
เขานั้นปล่อยจิตของตนออกไปสัมผัสดูรอบๆ แต่กลับไม่พบต้นกำเนิดของเสียงนี้
แต่ในเวลานั้นเองที่มันกลับเกิดภาพไม่คาดฝันขึ้นตรงหน้า
เพราะห้วงมิติตรงหน้าของเขามันกลับฉีกตัวออกเหมือนถูกใครแหวก แต่การแหวกนี้มันไม่เหมือนแค่การแหวกมิติทั่วๆ ไป มันเหมือนราวกับว่าทั้งมิติและเวลาถูกแหวกออกมาพร้อมๆ กัน
ราวกับว่ามันมีใครกำลังคืบคลานออกมาจากห้วงมิตินิรันดร์
จากนั้นมันก็มีร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏออกมาจากรอยแยกมิติที่ถูกแหวกนั้น
“เย่หยวน!” ว่านเจิ้นเบิกตากว้างมองดูคนตรงหน้านั้นอย่างไม่อยากเชื่อ
แน่นอนว่าเขาผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเย่หยวนที่เพิ่งกลับมาจากยุคก่อนนั้น!
ตอนที่เขาไปนั้น ตัวเขาเป็นคนแงมพลังของความลับสวรรค์ออกมา
แต่ตอนเขากลับ มันเป็นตัวเจียนหรูเฟิงที่เปิดความลับสวรรค์ออกเชื่อมต่อสองห้วงเวลา
บางทีมันอาจจะเป็นชะตา หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญ
แต่การเดินทางกลับไปยังยุคก่อนนี้มันได้เปลี่ยนสภาพจิตใจของเย่หยวนไปอย่างมหาศาล
การเดินทางครั้งนี้เขานั้นเหมือนได้กลับไปใช้ชีวิตในยุคนั้นนับหมื่นล้านปี!
เวลาที่ผ่านไปจริงมันแค่ไม่กี่พันปีแต่เขานั้นกลับเหมือนได้เปลี่ยนอ่างน้ำให้กลายเป็นทะเลกว้าง
เวลานี้ที่เขากลับมา ระดับความคิดของเขานั้นมันจึงแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
จนถึงตอนที่ได้ยินเสียงของยูถันจื่อดังข้ามห้วงมิติเวลามาเขาจึงเริ่มกลับมาตั้งสติได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...