“เราทำเช่นนี้มันจะโหดร้ายไปหรือไม่?” ชายชราผมขาวนั้นกล่าวขึ้นมา
เขาก็คือมหาจักรพรรดิล้ำหมิงเจียนจากแดนวิญญาณเหนือ
หญิงชราอีกคนตอบกลับมา “มันจะโหดร้ายอะไรกัน? ก็แค่พวกร่างวิญญาณกึ่งอมตะไม่กี่คน ได้ตายเพื่อท่านบู๋เมี่ยนั้นนับว่าเป็นเกียรติของพวกมันแล้ว! ที่สำคัญใครที่ได้รับกำเนิดเต๋าวิญญาณกลับออกมานั้นมันคงนับได้ว่าเป็นคนที่ได้รับโชคอย่างมหาศาล! พวกมันคงก้มหัวขอบคุณเราแทบไม่ทัน!”
ซานหยางนั้นหัวเราะกล่าวขึ้น “หากคนเรานั้นไม่กดดันตัวเองให้มาก พวกมันก็คงจะไม่รู้ถึงขีดจำกัดของตัวเองได้ ภายใต้สถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้มันคงช่วยผลักพวกมันไปได้อีกไกล! เพราะหากไม่ได้พวกมันก็คงเป็นเราที่ต้องไป! ศิษย์น้องหยุนหนีเองก็คงคิดเช่นเดียวกัน?”
หยุนหนีนั้นยืนเงียบปล่อยให้ซานหยางต้องยิ้มแห้งๆ ขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองในใจ
การปิดผนึกเจดีย์เจ็ดสีนั้นมันเป็นสิ่งที่แดนทั้งห้าตกลงกันมาตั้งแต่ต้น
เพื่อที่จะหาตัวเจ้าโลกบู๋เมี่ยนั้นแค่เสียผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะไปไม่กี่คนมันจะนับเป็นอะไรได้?
แต่จู่ๆ มันก็มีรอยยิ้มหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงชรา “ศิษย์น้องหยุนหนี เจ้าเด็กนี่หรือที่เจ้าตั้งความหวังไว้? นี่แค่กลองที่เจ็ดมันก็แตกสลายลงไปแล้ว ดูท่าร่างวิญญาณของมันคงไม่อาจจะรับพลังกลองได้อีกต่อไปแล้ว!”
หยุนหนีนั้นยังคงยืนนิ่งราวกับว่าไม่ได้ยินอะไร
หญิงชรารู้สึกเหมือนคำด่าว่าของตัวเองนั้นได้ไหลไปกับลมทำให้ไม่พอใจขึ้นมาอีก
นางจึงได้กล่าวขึ้นเย้ยหยันต่ออย่างไม่สนใจท่าทางของหยุนหนีใดๆ “เก้ากลอง เจ็ดระฆัง ไอ้เด็กนี่มันคงไม่รอดระดับแรกไปได้เสียด้วยซ้ำ! มีปัญญาแค่นี้ก็คิดจะเข้าไปผสานกับคลื่นกำเนิด? น่าขันนัก!”
มหาจักรพรรดิล้ำหมิงเจียนนั้นยิ้มกล่าวขึ้นมา “ดูท่าครั้งนี้ศิษย์น้องหยุนหนีนั้นจะมองผิดไปแล้วจริงๆ! ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นได้แค่ก้อนดินที่ไร้ค่าใดๆ เท่านั้น!”
การถูกหยุนหนีให้ค่าขนาดนั้นมันย่อมจะทำให้ยอดคนทั้งหลายจับตามอง
แต่ใครจะไปคิดเล่าว่าเย่หยวนนั้นกลับสุดแสนอ่อนแอ ดูเก่งแค่ภายนอก?
อย่าว่าแต่เอาไปเทียบกับหวางเฉียนเลย แค่เทียบกับไป๋ชุยซานที่มาด้วยกันจากแดนวิญญาณตะวันออกนั้นมันยังไม่อาจเทียบได้
ซานหยางนั้นยิ้มกล่าวขึ้น “แม้ว่ามันจะเป็นการบังคับแต่การต้องหาร่างวิญญาณกึ่งอมตะจากห้าดินแดนนั้นมันก็เป็นเรื่องยาก แต่ดูท่าแล้วคนที่จะได้ผสานคลื่นกำเนิดมันคงไม่ใช่ใครนอกจากตัวหวางเฉียนแล้ว”
หญิงชรานั้นกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ซานหยาง เฒ่าคนนี้ไม่ชอบน้ำเสียงของเจ้าเลยจริงๆ! จั่วเลิงแห่งแดนวิญญาณตะวันตกของเราเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหวางเฉียนหรอก!”
…
ตึง!
เสียงระฆังที่สามดังขึ้นมา!
ร่างของหวางเฉียนนั้นแตกสลายลงไปทันที!
พวกเขาเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายนั้นกลับไม่อาจจะทนรับมันไว้ได้อีกแล้ว
ผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะบางคนนั้นแข็งแกร่งจนถึงเป็นมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์แล้วก็มี
เพียงแค่ว่าพลังของกลองสนธยาระฆังอรุณนั้นมันก็แตกต่างกันไปตามพลังของผู้รับด้วย
หากเป็นมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์ ก็จะต้องรับพลังระดับมหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์
หากเป็นจักรพรรดิเที่ยงก็จะต้องรับพลังระดับจักรพรรดิเที่ยงไป
เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ได้นานนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการมีพลังบ่มเพาะสูง มันวัดกันที่ระดับของร่างวิญญาณกึ่งอมตะทั้งสิ้น
การที่หวางเฉียนทนมาได้จนถึงตอนนี้มันได้แสดงชัดเจนแล้วว่าเขานั้นแข็งแกร่งแค่ไหน
แต่ว่าตอนนี้คนรอบๆ ตัวเขามันเริ่มหายไปมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาคงได้ตายลงสิ้นแล้ว
“ให้ตายสิ! คลื่นกำเนิดมันอยู่ที่ใดกัน! หากยังหามันไม่เจอแล้วพลังของกลองสนธยาระฆังอรุณก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราจะได้ตายกันหมดแน่!” หวางเฉียนนั้นเริ่มกังวลใจขึ้นมา
เจดีย์เจ็ดสีนี้มันแบ่งออกเป็นเจ็ดชั้นและแต่ละชั้นนั้นก็มีเสี้ยวคลื่นกำเนิดอยู่
ต้องหาเสี้ยวพลังให้ครบทั้งเจ็ดชิ้นเท่านั้นถึงจะสามารถมีสิทธิเข้าไปผสานกับคลื่นกำเนิดได้
แต่แค่ระดับแรกมันก็สุดแสนจะยากเช่นนี้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมเทพโอสถ
DDD...