จอมนางข้ามพิภพ นิยาย บท 502

จวินหย่วนโยวมองดูการกระทำของหยุนถิง ยิ้มมุมปากน้อยๆ

นั่นปะไร นางยังคงเชื่อใจตนที่สุด

เขาพึ่งแช่ยามา เลยหยิบเสื้อผ้าที่ถอดไว้ที่พื้นมาเช็ดตัว ดังนั้นร่างกายถือว่าแห้งสนิท คราวนี้ฤทธิ์ยาขึ้นมา เขาเองก็ง่วงยิ่งนัก

ดังนั้นจวินหย่วนโยวกอดหยุนถิง พลางหลับตาลงเช่นกัน

มีนางอยู่เป็นเพื่อนตน จวินหย่วนโยวรู้สึกสงบนิ่งนัก

ในมิติที่กว้างใหญ่ หยุนถิงพิงอ้อมกอดจวินหย่วนโยว ทั้งสองคนนอนหลับอย่างสงบ ดูอบอุ่นยิ่งนัก

ส่วนด้านนอกมิติ ทั่วทั้งพื้นที่เพาะปลูกของราชวงศ์อลหม่านกันไปหมดแล้ว

หลังจากเรื่องจวินหย่วนโยวซัดฝ่ามือใส่หลัวหรูจี๋จนกระเด็น และหยุนถิงใช้เข็มเงินไม่กี่เล่มก็จัดการจี้อวี๋เสียอยู่หมัดแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่เพาะปลูกของราชวงศ์แล้ว

ทุกคนพากันยกนิ้วโป้งให้ทั้งสองคนรัวๆ องค์ชายสี่ยิ่งรู้สึกสาแก่ใจนัก “ถึงข้าจะไม่ชอบหน้าจวินหย่วนโยว แต่ครั้งนี้เขาจัดการได้ดียิ่ง ไม่เลวเลย สมเป็นบุรุษแคว้นต้าเยียน”

“คุณหนูหยุนสมเป็นยอดหญิงไม่แพ้บุรุษจริงๆ ควรจะสั่งสอนคนของแคว้นเทียนจิ่วนานแล้ว ไม่ดูตนเองบ้างเลยว่าเป็นอย่างไร!”

“จวินซื่อจื่อกับคุณหนูหยุนเป็นคู่สร้างคู่สมกันอย่างแท้จริง สั่งสอนคนได้สาแก่ใจนัก สะใจยิ่ง!”

ซวนอ๋องฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนแล้ว มิได้มีความรู้สึกยินดีหรือสะใจเลยสักนิด แต่กลับเป็นห่วงจวินหย่วนโยวขึ้นมา

หมอนั่นน่ะอาศัยหยุนถิงใช้ยาบำรุงร่างกายทุกวัน ถึงได้ยังอยู่รอดได้ ตอนนี้กลับทำอวดเก่ง คนเหนื่อยก็หนีไม่พ้นหยุนถิงอีก

พอรู้ตัวว่าตนเป็นห่วงจวินหย่วนโยว โม่เหลิ่งเหยียนส่ายหัวอย่างแรงทันที

เขาต้องสมองตายแน่ ดันคิดถึงจวินหย่วนโยว ต้องเป็นเพราะตนว่างเกินไป โม่เหลิ่งเหยียนหมุนตัวจากไป

ส่วนฮ่องเต้เองก็ได้ยินเรื่องการกระทำของจวินหย่วนโยวกับหยุนถิง สีหน้าหม่นตึวเครียดนัก

ซูกงกงที่อยู่ข้างๆพอเห็นสีหน้าเย็นชาของฝ่าบาท ก็รีบบอก “จวินซื่อจื่อและคุณหนูหยุนนี่จริงๆเลย ต่อให้อยากสั่งสอนคน แอบสั่งสอนลับหลังก็ได้ ทำไมต้องทำโจ่งแจ้งด้วย แบบนี้มิเท่ากับสร้างศัตรูหาเรื่องให้ตนเองรึ?”

“มิเป็นไร ราชครูแห่งแคว้นเทียนจิ่วเย่อหยิ่งจองหองมาแต่ไหนแต่ไร จี้อวี๋เองก็เป็นผู้ไม่รู้การควรไม่ควร คิดว่าแคว้นต้าเยียนของข้าเป็นที่ที่พวกมันจะมาอหังการ์ได้ มีจวินหย่วนโยวกับหยุนถิงออกหน้าสั่งสอนพวกมันแทนข้า สาแก่ใจจริงๆ สั่งการลงไป อาหารค่ำวันนี้เพิ่มน่องไก่ให้ทุกคน บอกว่าข้าประทานให้!” ฮ่องเต้ดีใจนัก

ซูกงกงถึงถอนหายใจโล่งอก “ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง!”

รอจนหยุนถิงกับจวินหย่วนโยวออกมาจากห้อง ก็เป็นอีกสามวันให้หลังแล้ว

“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ราชครูแห่งแคว้นเทียนจิ่วสลบไสลมาสองวันแล้ว เขากระอักเลือดออกมา อวัยวะภายในบาดเจ็บสาหัส นอนหายใจรวยริน เอาแต่บ่นพร่ำจะฟ้องฝ่าบาท สุดท้ายยังไม่ทันลงจากเตียงก็สลบลงไปอีก

สุดท้ายก็เป็นท่านทูตคนอื่นที่ติดตามมาด้วย ไปคุกเข่าขอร้องฝ่าบาท ฝ่าบาทถึงให้หมอหลวงไปรักษาราชครู ส่วนแม่ทัพจี้ร้องอยู่สามวัน สุดท้ายโอดครวญอ้อนวอนขอร้องซื่อจื่อเฟย แต่ซื่อจื่อเฟยสั่งการไว้แล้ว ห้ามมิให้ผู้ใดรบกวนทั้งนั้น ดังนั้นคนที่มาล้วนโดนข้าน้อยสกัดกลับไปหมดเลย!” หลิงเฟิงรีบรายงานทันที

หยุนถิงยิ้มมุมปาก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะไปดูจี้อวี๋สักหน่อยแล้วกัน!”

“ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า!” จวินหย่วนโยวรีบเดินเข้ามาจูงมือหยุนถิงทันที

หากมิใช่เพราะเป็นห่วงว่าด้านนอกจะเกิดอะไรที่ไม่อาจควบคุมได้ขึ้นมา จวินหย่วนโยวไม่อยากจะออกมาเลยจริงๆ สามวันนี้มีเพียงเขาและถิงเอ๋อร์ ในมิติมีของกินครบครัน มีเพียงแค่เขากับถิงเอ๋อร์ ไม่มีคนรบกวน มันช่างรู้สึกดีมากจริงๆ

พอคนอื่นในพื้นที่เพาะปลูกของราชวงศ์เห็นจวินหย่วนโยวและหยุนถิง ต่างพากันถวายบังคมอย่างนอบน้อม ในเวลาเดียวกันก็เลื่อมใสในกำลังกายของจวินซื่อจื่อเช่นกัน

ขลุกอยู่กับซื่อจื่อเฟยสามวันไม่ออกไปไหน กำลังกายช่างแก่กล้าเกินไปแล้ว

หยุนถิงเหล่มองสายตาแปลกพิกลของทุกคน ก็ไม่ได้คิดอะไร มุ่งตรงไปเรือนของจี้อวี๋ทันที

“หยุนถิง เจ้ามาจนได้ เจ้าช่วยคลายจุดให้ข้าทีเถอะ ข้าสำนึกผิดแล้ว ต่อไปข้าไม่กล้าขอประลองตัวต่อตัวกับเจ้าอีกแล้ว ร่างกายข้าแทบแยกออกจากกันแล้ว!” จี้อวี๋อ้อนวอน

นางนิสัยเหมือนกับโม่หลาน ปากไม่มีหูรูดที่สุด และก็โผงผางตรงไปตรงมาที่สุด บัดนี้ต้องอยู่ในท่าทางนี้ขยับตัวไม่ได้สามวัน ทำนางแทบบ้าแล้ว

หยุนถิงถึงหยิบเข็มเงินออกมาปักลงจุดชีพจรบางจุดของจี้อวี๋

จี้อวี๋ที่เดิมตัวแข็งขยับไม่ได้พลันตัวอ่อนยวบราวกับโคลนเหลว ล้มลงไปบนเตียงทันที

“การขยับตัวได้นี่ดียิ่งนัก!” จี้อวี๋อดถอนหายใจยาวไม่ได้ พูดขึ้นมาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง

“ควบคุมคนของแคว้นเทียนจิ่วพวกเจ้าให้ดี หากมีครั้งต่อไปอีก จะมิใช่แค่ตีให้สลบและขยับไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้อีก อย่าคิดท้าทายความเข้มงวดของซื่อจื่อเรา!” หยุนถิงแค่นเสียงเย็น ลากจวินหย่วนโยวจากไป

จี้อวี๋ไหนเลยจะกล้าย้อนหรือไม่ไว้หน้าอีก นางไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว พอหลับครานี้ก็หลับลึกไปเลย

เรื่องอื่นไม่สำคัญ นอนหลับก่อนค่อยว่ากัน

หลังจากหยุนถิงกับจวินหย่วนโยวออกไป ทั้งสองคนเดินเล่นกันตามสบาย จนถึงที่นาข้าวสาลี จากนั้นก็เห็นชาวนาที่อยู่ไม่ไกลกำลังเก็บเกี่ยวข้าวสาลี

ร่างหนึ่งในนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นฮ่องเต้ เขาลงนาด้วยตัวเอง มือหนึ่งถือเคียว อีกมือจับข้าวสาลีไว้แล้วเกี่ยวตัด

“ฝ่าบาทกำลังเกี่ยวข้าวสาลี?” หยุนถิงอุทานอย่างตกใจ

“ฝ่าบาทรักประชาราษฎร์ดุจลูกหลาน เมื่อถึงระยะเก็บเกี่ยวในพื้นที่เพาะปลูกของราชวงศ์ของทุกปี เพื่อเรียนรู้ชีวิตเกษตรกรรมด้วยตัวเอง” จวินหย่วนโยวอธิบาย

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เพียงแต่ที่นานี่มีพื้นที่หลายพันไร่เลยนะ ฝ่าบาทกับชาวนาพวกนี้คงต้องเกี่ยวเสียหลายวัน แถมที่นี่ยังเป็นแค่พื้นที่เพาะปลูกของราชวงศ์ ชาวบ้านคนอื่นของแคว้นต้าเยียนล้วนเก็บเกี่ยวเยี่ยงนี้รึ?” หยุนถิงถาม

“ชาวบ้านคนอื่นก็ทำเยี่ยงนี้เช่นกัน!”

พอฮ่องเต้ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลหันกลับมา ก็เห็นหยุนถิงกับจวินหย่วนโยวยืนอยู่ด้านหลังตน “พวกเจ้าสองคนมาแล้วรึ มาลองดูสักหน่อยหรือไม่เล่า?”

“ฝ่าบาททรงมีเมตตากรุณา แต่เทียบกับเคียวแล้ว หม่อมฉันชอบเข็มเงินมากกว่า” หยุนถิงปฏิเสธออกมาอย่างอ่อนโยน

“พูดไปก็จริง ให้เจ้ามาเกี่ยวข้าวสาลี ดูจะสิ้นเปลืองเสียจริง ผลผลิตในปีนี้ไม่เลว แคว้นต้าเยียนเป็นปีที่อุดมสมบูรณ์อีกปีหนึ่ง” ฮ่องเต้ไม่ได้โกรธเพราะหยุนถิงปฏิเสธเลย

“ฝ่าบาทชมเชยเกินไปแล้ว หม่อมฉันรู้สึกว่า การเก็บเกี่ยวเช่นนี้มันลำบากมากเกินไป ที่นาข้าวสาลีผืนหนึ่งต้องเก็บเกี่ยวนานยิ่งนัก หากเจอวันพายุฝนเข้า ข้าวสาลีที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวคงต้องเสียหายแน่”

“นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้ากังวลอยู่ หากทั้งสี่แคว้นล้วนเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่มีหนทาง” ฮ่องเต้ถอนหายใจยาว

เขามีหรือจะไม่รู้ว่า หากฤดูเก็บเกี่ยวชนกับพายุฝนเข้า พัชพันธุ์ที่ลำบากมาทั้งฤดู หากมิเก็บเกี่ยวให้ทันเวลา ก็จะเสียหายแล้วจริงๆ ดังนั้นพอถึงฤดูเก็บเกี่ยว ฮ่องเต้ก็จะออกคำสั่งให้ประชาชนทั้งแคว้นรีบเก็บเกี่ยวทันที ต่อให้ยังไม่สุกก็มิเป็นไร ดีกว่าเจอพายุฝนมากนักแล้ว

“หม่อมฉันมีหนทาง เมื่อก่อนหม่อมฉันเคยเห็นเครื่องมือเก็บเกี่ยวชนิดหนึ่งในหนังสือเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่งเข้า เหมือนกับรถน้ำเลย ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงก็สามารถขับเคลื่อนได้

ประหยัดเวลาประหยัดแรง แค่ชั่วหนึ่งก้านธูปก็สามารถเก็บเกี่ยวไปได้สิบกว่าไร่แล้ว ใช้คนคนเดียวขับเคลื่อนก็ได้แล้ว

ยามเครื่องมือนั้นเก็บเกี่ยว ด้านหนึ่งเก็บเกี่ยวเมล็ดข้าวสาลี อีกด้านก็จับก้านข้าวสาลีตีกระจายลงพื้น แบบนี้ก้านข้าวสาลีก็กลายเป็นปุ๋ยใช้ต่อได้ พื้นดินก็จะอุดมสมบูรณ์!” หยุนถิงอธิบาย

ฮ่องเต้ฟังอย่างตกตะลึง สีหน้ายินดียิ่งนัก “หยุนถิง มีเครื่องเก็บเกี่ยวน่าอัศจรรย์เช่นนี้จริงรึ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนางข้ามพิภพ