กู้เหมยตั่วพาน้องชายสองคนออกไปข้างนอก เด็กน้อยทั้งสองคนสะพายตะกร้าใบเล็กกันคนละใบ สามพี่น้องออกเดินทางไปแล้ว
พวกเขาเดินไปท่อง ‘ตำรารวมร้อยแซ่’ ไป เสียงเด็กใสๆ ฟังแล้วไพเราะจับใจ
“ถึงบ้านท่านปู่เซี่ยงแล้ว เดี๋ยวอย่าลืมทักทายด้วยนะ”
“เข้าใจแล้วขอรับ พี่สาว”
เมื่อมาถึงคฤหาสน์ลวี่อี้ ก็เคาะประตู
อาสะใภ้ติงพาพวกเขาเข้าไปในบ้านเพื่อคารวะนายท่านเซี่ยง
เซี่ยงอวิ่นเจ๋อก็อยู่ที่นั่นด้วย
สามคนพี่น้องคำนับพร้อมกันและกล่าวทักทาย “คำนับท่านปู่เซี่ยง คำนับพี่เซี่ยง”
แม้ว่าทั้งสามจะสวมเสื้อผ้าที่เก่าและขาด แต่ก็สะอาดสะอ้านและหน้าตาดูดี โดยเฉพาะฝาแฝดที่มีดวงตากลมโตและปากเล็กๆ ดูแล้วน่าเอ็นดูเป็นที่สุด
เสี่ยวซื่อยกตะกร้าใบเล็กในมือขึ้นส่งให้ผู้อาวุโสเซี่ยง พร้อมพูดเสียงใสว่า
“คำนับท่านปู่ ข้าคือเสี่ยวซื่อ นี่คือผลไม้แห้งที่พี่สาวของข้าตากไว้ แช่น้ำเล็กน้อย ล้างให้สะอาด แล้วนำไปต้มในหม้อดิน เติมน้ำตาลเล็กน้อย ดื่มตอนร้อนๆ ดีที่สุด ช่วยขับเสมหะและบำรุงปอดขอรับ”
คำที่พี่สาวสอน เขาท่องได้อย่างคล่องแคล่ว หลังจากท่องเสร็จ ตัวเองยังยิ้มกว้างให้อีกทีหนึ่งด้วย
“ดี ดี ปู่ขอบใจเสี่ยวซื่อด้วยนะ” ท่านผู้เฒ่ารับไว้ด้วยความยินดี
เสี่ยวหวู่ก็หยิบตะกร้าใบเล็กอีกใบที่เต็มไปด้วยผักป่ามาให้
เสี่ยวหวู่เป็นคนใจเย็น พูดช้าแต่ชัดถ้อยชัดคำ ดูน่าเชื่อถือ
“คำนับท่านปู่ ข้าชื่อเสี่ยวหวู่ นี่คือผักป่าที่เก็บและล้างสะอาดแล้ว นำไปลวกน้ำ ใช้ทำไส้เกี๊ยวหรือซาลาเปาได้ดีที่สุด แม้จะขมไปหน่อย แต่สดชื่นและช่วยดับร้อนได้ขอรับ”
ท่านผู้เฒ่ามองเขาพูดอย่างใจเย็น ศีรษะเล็กๆ ยังพยักขึ้นลงอีก ดูน่ารักยิ่งนัก ทั้งยังรับผักป่าของเสี่ยวหวู่ด้วยความเต็มใจ ทำให้เสี่ยวหวู่ดีใจมาก
ท่านผู้เฒ่าเชิญสามพี่น้องนั่งลง แล้วถามฝาแฝดว่า “อ่านหนังสือออกหรือไม่?”
ทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกัน
“ท่องตำราได้ไหม? ลองท่องให้ปู่ฟังสักท่อนหน่อย”
เสี่ยวซื่อท่อง ‘คัมภีร์สามอักษร’ ส่วนเสี่ยวหวู่ท่อง ‘ตำรารวมร้อยแซ่’ เสียงใสกังวาน ฟังแล้วไพเราะมาก
ท่านผู้เฒ่าเลือกบางประโยคจากสิ่งที่พวกเขาท่องมาตั้งคำถาม และทั้งสองพี่น้องก็ตอบได้ดีมาก
ดูเหมือนว่าพี่สาวของพวกเขาจะสอนมาดี
หลังจากตอบคำถามเสร็จ เด็กน้อยทั้งสองก็กลับมายืนอยู่ข้างกายพี่สาวอย่างว่าง่าย
กู้เหมยตั่วถามท่านผู้เฒ่าเรื่องอาการหลังจากกินยา และสอบถามเรื่องบาดแผลของเซี่ยงอวิ่นเจ๋อทั้งสี่คน ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจมาก
กู้เหมยตั่วมอบยาให้ผู้อาวุโสเซี่ยงอีกสองเม็ด ซึ่งท่านผู้เฒ่าเก็บไว้ด้วยความทะนุถนอม
หลังจากกินยาแล้ว อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาแทบไม่ไอเลย อวิ่นเจ๋อพูดถูก ยานี้ถือว่าเป็นยาเซียนจริงๆ
เซี่ยงอวิ่นเจ๋อยิ้มและถามกู้เหมยตั่ว “ไม่ทราบว่ายาที่แม่นางน้อยกู้ให้พวกเราสี่คนยังมีเหลือหรือไม่? ข้าอยากซื้อเพิ่มอีกสักหน่อย”
“มีก็มี แต่ไม่เยอะแล้ว ขายให้ท่านได้แค่สิบเม็ด”
“ขอบคุณมาก” เขาหยิบตั๋วแลกเงินสองสามใบส่งให้กู้เหมยตั่ว
เซี่ยงอวิ่นเจ๋อถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางน้อยกู้ยังมียาอะไรอีกหรือไม่?”
นี่เรียกว่าได้คืบจะเอาศอกไปหน่อยแล้วกระมัง?
ถ้าไม่ได้มีเรื่องจะขอร้องท่านผู้เฒ่าล่ะก็ จะไม่ขายให้ท่านแม้แต่เม็ดเดียว
“แล้วคุณชายเซี่ยงต้องการยาอะไรอีกหรือ?” น้ำเสียงที่นางถามนั้นเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
เซี่ยงอวิ่นเจ๋อลูบจมูกตัวเองเล็กน้อย ก่อนตอบอย่างรู้สถานการณ์ว่า “ข้าแค่ถามเล่นๆ เท่านั้น”
จู่ๆ ก็รู้สึกว่า ตัวเองเหมือนถูกท่าทีของนางกดข่มเอาไว้ พาลให้รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก จึงหัวเราะเบาๆ แล้วถามว่า
“เจ้ารับตั๋วแลกเงินพวกนี้ไปแล้ว ท่านปู่กับท่านย่าของเจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?”
“ท่านก็ไปบอกพวกเขาเองสิ แล้วพวกเขาก็จะรู้เอง”
นายท่านเซี่ยงมองดูพวกเขาสองคนโต้เถียงกันอย่างอารมณ์ดี
เซี่ยงอวิ่นเจ๋อมีสัญชาตญาณอันแรงกล้ายิ่งนักว่า เด็กสาวคนนี้ต้องมียาชนิดอื่นอีกแน่นอน
ยาดีหายาก ยาสิบเม็ดในมือของตนนี้ไม่ควรใช้โดยง่าย เพราะผลลัพธ์ดีเกินคาด ต้องเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นเพื่อรักษาชีวิต
กู้เหมยตั่วไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไป นางรู้สึกไม่สบายใจเมื่ออยู่ที่นี่ เซี่ยงอวิ่นเจ๋อแสดงท่าทีสูงส่งและพูดจาปากเสีย ทำให้นางอึดอัดมาก
“เสี่ยวซื่อเสี่ยวหวู่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ มา ร่ำลาท่านปู่กับคุณชายเซี่ยงก่อน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จากสาวบ้านนา สู่ฮูหยินจอมพยัคฆ์