ติงเผิงอธิบายว่า คฤหาสน์หงเหมินเป็นของน้องเขยของท่านรองเจ้าเมืองคนก่อน รวมถึงที่ดินรอบๆ ด้วย
น้องเขยคนนี้เคยใช้อำนาจแย่งชิงทรัพย์สินและกดขี่ชาวบ้าน จนกระทั่งถูกจับ ท่านรองเจ้าเมืองจึงพลอยถูกโยงและถูกปลดจากตำแหน่ง พร้อมทั้งถูกส่งกลับบ้านเกิด
คฤหาสน์หลังนี้ถูกที่ว่าการอำเภอประกาศขาย แต่เนื่องจากมีขนาดใหญ่เกินไป ที่ดินส่วนใหญ่เป็นภูเขา และไม่ขายแยกเป็นส่วนๆ จึงยังไม่มีใครซื้อ
กู้เหมยตั่วเริ่มเดินสำรวจทีละจุด คฤหาสน์แห่งนี้ก่อสร้างโครงร่างไว้เพียงคร่าวๆ ภายในยังตกแต่งไม่เสร็จ และดูเหมือนจะไม่ได้รับการดูแลมานานจนทรุดโทรม
ทุกครั้งที่กู้เหมยตั่วเดินไปถึง นางก็ตรวจสอบอย่างละเอียด
ในชาติที่แล้ว กู้เหมยตั่วเกิดมาในครอบครัวชาวนา ทำให้นางรักในผืนดินอย่างลึกซึ้ง หากตนได้ครอบครองคฤหาสน์ใหญ่โตเช่นนี้ ตัวเองจะวางแผนการจัดการอย่างดีและดูแลมันให้สมบูรณ์แบบ
ปลูกพืชหลากหลายชนิด กั้นพื้นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์ สร้างให้กลายเป็นแดนสุขาวดี
เฮ้อ ตอนนี้คงได้แต่คิด เพราะคฤหาสน์แห่งนี้นี้รวมถึงภูเขาด้านนอก คิดราคาอยู่ที่ห้าหมื่นตำลึง
หากตอนนี้ตนคิดจะซื้อคฤหาสน์หลังนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับฝันลมๆ แล้งๆ
ระหว่างเดินทาง เสี่ยวเหลียงจื่อพูดเจื้อยแจ้วตลอดทาง “ที่นี่กว้างใหญ่จัง มีบ้านเยอะมาก ถ้าได้อยู่ที่นี่คงดีไม่น้อยเลยนะ”
กู้เหมยตั่วหัวเราะและพูดว่า “ถ้าวันหน้าข้าซื้อคฤหาสน์หลังนี้ล่ะก็ จะเก็บห้องไว้ให้เจ้าได้มาอยู่”
“จริงหรือ? จะให้ข้ามาอยู่จริงๆ หรือ?”
กู้เหมยตั่วหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างจริงจังว่า “จริงสิ ข้าจะให้เจ้ามาอยู่แน่นอน”
ติงเผิง: …
คนโง่นี่มันมีความสุขกันจริงๆ
กู้เหมยตั่วตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องหาเงินให้มากขึ้น เพื่อซื้อคฤหาสน์หลังนี้
หากอยากหาเงินได้มาก ก็ต้องแยกบ้านออกมา
บ้านใหญ่ของตระกูลกู้และท่านรองเจ้าเมืองคงไม่สามารถเป็นเครือญาติกันได้อีกต่อไป ตนจึงไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว
กู้เหมยตั่วแยกทางกับติงเผิงและพวก จากนั้นก็ไปเจอร้านขายเมล็ดพันธุ์
เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เมล็ดพันธุ์จึงมีไม่มากนัก
เมล็ดพันธุ์ธัญพืช เช่น ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ข้าวโพด และถั่วเหลือง แต่ไม่เอาข้าว เพราะในมิติดูเหมือนจะไม่มีน้ำ ส่วนเมล็ดพันธุ์ผักก็มีชนิดที่พบได้ทั่วไปอยู่บ้าง
สำหรับสมุนไพร หากเจอต้นกล้าก็ปลูกได้เลย เพราะคาดว่าไม่มีใครขายเมล็ดพันธุ์ ส่วนต้นกล้าผลไม้ก็ไม่มี
กู้เหมยตั่ววางแผนพื้นที่เพาะปลูกในมิติไว้เรียบร้อยแล้ว นางนำเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อมาไปปลูกอย่างเป็นระบบจนเต็มพื้นที่
กู้เหมยตั่วเตือนตัวเองให้ใส่ใจมิติให้มากขึ้น เพื่อดูว่าพืชที่ปลูกไว้จะเก็บเกี่ยวได้เมื่อไหร่
เมื่อกลับถึงบ้าน กู้เหมยตั่วพูดกับพ่อแม่และพี่ชายว่า
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เดี๋ยวไปบอกท่านปู่ท่านย่าว่าจะแยกบ้าน พี่ใหญ่ไปตามท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน พี่รองไปตามท่านปู่หัวหน้าตระกูล บอกว่าท่านปู่มีเรื่องจะพูดกับพวกเขา
ระหว่างทางถ้ามีคนถาม ก็บอกว่าตระกูลกู้จะแยกบ้าน ให้พวกเขามาดูได้ ยิ่งมีคนรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
กู้เหล่าซื่อมองลูกสาวอยู่นานก่อนจะถามว่า “ตั่วเอ๋อร์ จะไหวหรือ?”
“ท่านพ่อ เชื่อข้าเถอะ มันต้องสำเร็จแน่นอน ขอแค่ท่านทำตามที่ข้าบอกก็พอ
อย่าให้ท่านปู่ท่านย่าพูดอะไรหน่อย แล้วทำเอาท่านกลัวเลยนะ ลองคิดถึงข้า พี่ชาย น้องชาย รวมถึงท่านแม่ที่น่าสงสารของข้าด้วยสิ”
กู้เหล่าซื่อพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ไม่นานลานเรือนหลักของตระกูลกู้ก็เต็มไปด้วยผู้คน สมาชิกจากทุกบ้านในตระกูลกู้ก็มากันครบ
พ่อเฒ่ากู้กับแม่เฒ่าซุนดูงุนงงอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่าผู้คนเหล่านี้มาทำอะไรกันที่บ้าน
กู้เหมยตั่วช่วยพาผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลนั่งลง จากนั้นจึงพูดกับพ่อเฒ่ากู้กับแม่เฒ่าซุนว่า “ท่านปู่ ท่านย่า ข้าเป็นคนเชิญท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านกับท่านปู่หัวหน้าตระกูลมาที่นี่เอง ข้าต้องการแยกบ้านเจ้าค่ะ”
คนตระกูลกู้มองกู้เหมยตั่วเหมือนมองตัวประหลาด แยกบ้าน? นางเอาความมั่นใจมากมายเช่นนี้มาจากไหนกัน?
พ่อเฒ่ากู้กับแม่เฒ่าซุนมีสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ผู้ใหญ่บ้านพูดขึ้นว่า “ต้าเซิง เจ้าคิดว่าอย่างไร?” พ่อเฒ่ากู้ถูกเรียกว่ากู้ต้าเซิง
“ข้าไม่เห็นด้วย” พ่อเฒ่ากู้ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จากสาวบ้านนา สู่ฮูหยินจอมพยัคฆ์