บนท้องฟ้า จ้าวเทียนเดินเหยียบอากาศลงมาดุจเทพเจ้า ทุกการก้าวเท้าของเขา มันก็ได้เพิ่มความกดดันให้ยายซุนมากขึ้นเรื่อยๆ
กึ่กๆๆ
ขาทั้งสองข้างของยายซุนสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของเธอซีดขาว ระดับของอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าเธอ
“ คุณเป็นใคร…”
“ ฉันถามว่า…กล้าสู้กับฉันไหม ” จ้าวเทียนไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย
เขายังคงถามประโยคเดิม หากวันนี้เขามาไม่ทัน พวกกงไป๋ฮวาคงโดนจัดการไปแล้ว และกงเสี่ยวเหมยก็คงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โดยที่ไม่มีใครรู้
ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าลักพาตัวคนแบบซึ่งๆหน้า ทั้งยังพูดจาข่มขู่ครอบครัวตระกูลกงอีก แบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลแล้ว ใครกำปั้นใหญ่กว่าย่อมเป็นคนกำหนด นี่เป็นสิ่งจริงแท้แน่นอน
‘ จากที่ฉันประเมินดู…หญิงชราคนนี้คงมาจากสำนักโบราณ ทั้งวิธีการพูดและการกระทำเหมือนกับคนพวกนั้นไม่มีผิดเพี้ยน ’
“ ฉัน… ”
เมื่อเห็นยายซุนเงียบไป จ้าวเทียนก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา เขาเลิกปล่อยความกดดันบีบคั้นอีกฝ่าย แล้วก้าวลงมาถึงพื้น
“ พวกคุณ ไม่เป็นอะไรนะครับ ” จ้าวเทียนหันไปถามกงไป๋ฮวา
“ พวกเราไม่เป็นอะไร…ดีที่เธอมาทัน แต่เสี่ยวเหมยเธอถูกหญิงชราคนนี้ลักพาตัวไปตั้งแต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน จนถึงตอนนี้ พวกเราก็ติดต่อเธอไม่ได้อีกเลย ” กงไป๋ฮวาตอบเสียงเครียด
ในตอนแรกเธอเห็นว่ายายซุน เป็นผู้อาวุโสเก่าแก่ของหมู่บ้าน จึงให้ความเคารพนับถือมาก ยิ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายชื่นชมหลานสาวคนโปรดมาก เธอก็รู้สึกสบายใจ จนเผลอปล่อยให้ทั้งคู่คลาดสายตาไปครู่หนึ่ง
ไม่นึกเลยว่า พอรู้ตัวอีกทีหลานสาวของเธอก็หายตัวไปแล้ว…
“ น้องจ้าว…เธอต้องช่วยเสี่ยวเหมยกลับมานะ ” กงซือลู่พูดขึ้นด้วยความกังวล เธอเป็นคนโทรหาจ้าวเทียนเอง ตั้งแต่ที่เห็นสถานการณ์ผิดปกติ
จ้าวเทียนพยักหน้าให้กงซือลู่เล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองยายซุนด้วยแววตาเย็นชา
“ คืนตัวเธอมา…แล้วฉันจะไว้ชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ลองคิดดูเอง สำหรับเซียนขั้นต่ำอย่างคุณ ฉันลำบากเพียงแค่ยกมือเท่านั้น ”
“ นี่แก…กล้าพูดกับฉันแบบนี้เหรอ ” ยายซุนหลุดปากพูดขึ้นด้วยความโกรธ
เธออายุปาเข้าไปเกือบสองร้อยปีแล้ว ปกติทุกคนเวลาพูดคุยกับเธอก็ต้องให้เกียรติเธอหลายส่วน ไม่เคยมีใครกล้าพูดจาแบบนี้กับเธอ
ถึงแม้จะมองไม่ออกว่าจ้าวเทียนอยู่ในขอบเขตไหน แต่เมื่อดูจากใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของเขา เธอคิดว่าน่าจะไม่สูงกว่าเธอมากนักคงประมาณเซียนขั้นกลาง ( ตั้งแต่ที่จ้าวเทียนหลอมรวมเลือดมังกร ถ้าเขาไม่แสดงพลังออกมาเอง คนอื่นจะไม่สามารถมองระดับฝึกตนออก ยกเว้นฝั่งตรงข้ามจะมีพลังสูงกว่าเขามาก )
‘ ถ้าต้องสู้จริงๆ แม้ว่าฉันจะไม่ชนะ แต่ก็น่าจะถ่วงเวลาได้ ’
ยายซุนหยิบขลุ่ยอันเล็กขึ้นมาเป่า เกิดเสียงสัญญาณดังไปทั่วหมู่บ้าน
พรึบบ!ๆๆๆ
กองกำลังเกือบยี่สิบคนปรากฏตัวขึ้นทันที ทุกคนล้วนเป็นหญิงวัยกลางคนสวมชุดจีนโบราณสีเทา เหมือนเป็นชุดประจำสำนัก
ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเท่านั้น แต่ด้วยจำนวนคนที่มากขึ้น ทำให้ยายซุนรู้สึกผ่อนคลายความกดดันลงมาก
หากไม่ใช่ด้วยข้อตกลงของรัฐบาลกับสำนักโบราณ แค่เพียงคนของเธอจำนวนเท่านี้ก็สามารถยึดเมืองเทียนจินได้แล้ว
“ หยุดทำเรื่องไร้สาระเถอะ ”
จ้าวเทียนสะบัดมือไปด้านหน้าเบาๆ คลื่นพลังกวาดออกไป ทำให้พวกที่ยายซุนเรียกมา กระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว ด้วยใบหน้าซีดขาว
ตุบ!
บางคนที่ทนไม่ไหวถึงกลับทรุดนั่งลงไปกองกับพื้นอย่างไร้ทางสู้ แววตาที่พวกเธอมองจ้างเทียนมีแต่ความหวาดกลัว
“ นี่มัน… ” เมื่อครู่ยายซุนก็กำลังจะลงมือเช่นกัน แต่เหมือนมีพลังบางอย่างตรึงความเครื่องไหวของเธอเอาไว้ สัญชาตญาณของเธอบอกว่าถ้าขัดขืนคงจบไม่สวยแน่นอน
‘ หรือชายหนุ่มคนนี้จะเป็นเซียนขั้นสูง…แต่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสำนักไหนสามารถบ่มเพาะอัจฉริยะแบบนี้ออกมาได้ ’
“ นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย…ครั้งต่อไปฉันจะไม่ยั้งมืออีก ” จ้าวเทียนพูดอย่างเฉยชา
ท่าทีของเขานั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก ทางเลือกของยายซุนในตอนนี้ ไม่ใช่จะสู้หรือไม่สู้ แต่เป็นยอมแพ้หรือยอมตายเท่านั้น
สำหรับพวกยายซุน บรรยากาศรอบๆเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกอย่างน่ากลัว ความคิดในหัวของยายซุนสับสนวุ่นวาย ก่อนที่จะตัดสินใจพูดขึ้นเสียงแข็ง
“ รัฐบาลได้มอบสถานที่นี้ ให้อยู่ในความดูแลของสำนักฉัน ตามกฎหมายแล้วคุณไม่มีสิทธิ์ทำร้ายพวกเรา ”
แม้จะหวาดกลัวในพลังของอีกฝ่าย แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ ในเมื่อสู้ไม่ได้ก็ต้องยกอ้างถึงกฎหมาย เพราะที่นี่คือประเทศจีน ไม่ใช่โลกใบเล็ก ในอดีตตัวแทนแต่ละฝ่ายได้ทำข้อตกลงกันแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน