ตอนนี้ สถานการณ์ของตระกูลฉินดูเหมือนจะเข้าสู่ความสิ้นหวังอย่างแท้จริง พวกผู้มีอำนาจที่เพิ่งหยดเลือดลงไปในพันธสัญญาทาส ก็เริ่มคร่ำครวญด้วยความเศร้าเสียใจ ที่พวกเขารีบตัดสินใจเกินไป
หากตระกูลฉินเกิดอยากต่อสู้กับเซียนขึ้นมา พวกเขาเองก็จะถูกดึงเข้าร่วมด้วยแน่นอน เพราะตอนนี้อีกฝ่ายสามารถใช้พันธสัญญาทาสบีบให้พวกเขาลงมือได้
“ผู้อาวุโสหลิ่วฉี…คุณจะไม่ถามไถ่เรื่องราวให้แน่ชัดก่อนเหรอ การที่คุณรีบตัดสินโทษพวกเราแบบนี้ ใช่ว่ามีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงหรือไม่ ” คังหลินพูดขึ้นเสียงดัง โดยไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะฆ่าคนปิดปาก
เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่กล้าสังหารคนมากเกินไป ไม่อย่างนั้นพรรคกระยาจกไม่มีทางนิ่งเฉยแน่ ตอนนี้คนที่กังวลที่สุดไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นตัวผู้อาวุโสหลิ่วฉี เพราะเขากลัวว่าตระกูลฉินจะหลุดปากพูดความลับออกมา
“ แกคิดจะพูดอะไร ” ผู้อาวุโสหลิ่วฉีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ ฉินซู่โหวสมคบคิดกับแม่ทัพรักษาเมือง วางแผนโค่นล้มตระกูลฉินต่อต้านราชวงศ์ ความผิดของเขาสมควรตายเป็นหมื่นครั้ง พวกฉันตัดสินโทษเขาถือเป็นเรื่องสมควรแล้ว ”
“ เรื่องนี้ พวกเรามีหลักฐานและพยานชัดเจน ไม่ใช่การปรับปรำแน่นอน ขอผู้อาวุโสตรวจสอบหลักฐานของพวกเรา แล้วตัดสินอย่างยุติธรรมด้วย ” คังหลินพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ เหอะ…คิดว่าฉันจะสนใจเรื่องหลอกลวงของพวกแกเหรอ ฉันเชื่อเพียงสิ่งที่ฉันเห็นเท่านั้น ที่ฉันรู้คือพวกแกสังหารบิดาบุญธรรมหลานศิษย์ของฉัน วันนี้ยังไงพวกแกก็ต้องตาย ”
“ ดูเหมือนว่า…ผู้อาวุโสจะไม่สนใจหลักฐานที่พวกเรารวบรวมไว้เลย ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้วันนี้ฉันต้องตาย ก็ต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด ”
“ เดิมที…เมืองนี้ก็อยู่ภายใต้การปกครองของพรรคกระยาจกอยู่แล้ว การที่ผู้อาวุโสคิดสังหารตระกูลเจ้าเมืองโดยไม่มีเหตุผล พรรคกระยาจกจะต้องเข้ามาตรวจสอบที่เมืองแห่งนี้แน่นอน ”
“ ฉันไม่เชื่อ…ว่าพรรคกระยาจกจะไม่ค้นพบความจริงเรื่องนี้ ” คังหลินพูดออกมาด้วยความชอบธรรม แต่สายตาของเขาสื่อความหมายที่มีแต่ผู้อาวุโสหลิ่วฉีเข้าใจ
‘ ถ้าแกอยากหาเหตุผลฆ่าฉัน…ก็ช่วยใช้สมองคิดให้ดีๆหน่อย ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ จนพรรคกระยาจกต้องยื่นมือเข้ามาแน่นอน ’
จากสิ่งที่คังหลินพูดออกมาเมื่อครู่ ต่อให้ผู้อาวุโสหลิ่วฉีโง่แค่ไหน ก็คงคิดได้ว่าตระกูลฉินรู้เรื่องเหมืองหินวิญญาณแล้ว แต่ที่ยังปิดเงียบเอาไว้ แสดงว่าตระกูลฉินก็ไม่ต้องการให้เรื่องนี้หลุดไปเช่นกัน
ถึงตอนนี้ แววตาของผู้อาวุโสหลิ่วฉีก็เต็มไปด้วยความต้องการสังหารอย่างแรงกล้า เซียนอย่างเขา กำลังถูกมดปลวกข่มขู่อยู่งั้นเหรอ
‘ ถ้าไม่ใช่มีพยานรู้เห็นมากมาย…ฉันคงฆ่าล้างตระกูลแกไปแล้ว ก็ได้ ในเมื่อแกมั่นใจนักฉันก็ขอดูหลักฐานของแกหน่อย ขอเพียงฉันยืนยันว่ามันเป็นของปลอม พวกแกจะทำอะไรได้ ’
“ ฉันให้เวลาพวกแกสิบนาที…นำพยานและหลักฐานออกมา จากนั้นฉันจะเป็นคนตัดสินเอง ”
พอผู้อาวุโสหลิ่วฉีพูดจบ ศพของชายคนหนึ่งที่ใบหน้าถูกทำลาย แขนขาโดนตัดขาดถูกยกออกมาทันที ยังมีทรัพย์สินส่วนตัวสองหีบใหญ่และเอกสารหลายแผ่น ที่แสดงถึงการสมคบคิดวางแผนยึดครองเมืองเหล็กดำ
ชายสวมหน้ากากเมื่อเห็นแบบนั้น ก็รีบวิ่งมาคุกเข่าหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ อยู่ตรงหน้าศพที่ยกออกมา ตัวเขาเองก็อ่านสถานการณ์ออก จึงเลือกแสดงบทบาทของตัวเองต่อไป
“ พ่อบุญธรรม…คุณถูกตระกูลฉินใส่ร้ายจนต้องตายอย่างอนาถ วันนี้ฉันจะแก้แค้นให้คุณแน่นอน ฉันเชื่อว่าผู้อาวุโสหลิ่วฉีจะตัดสินอย่างเป็นธรรม ”
ผู้อาวุโสหลิ่วฉีได้ยิน ก็ยิ้มออกมาอย่างชื่นชม หลานศิษย์ของเขาทำได้ดีมาก ด้วยคำพูดนี้ขอเพียงเขาตามน้ำไป ก็มีเหตุผลในการลงมือแล้ว
‘ ชายหนุ่มที่มีไหวพริบแบบนี้…หลังกลับสำนัก ฉันจะรับเขาเป็นศิษย์ส่วนตัว ’
จากนั้นผู้อาวุโสหลิ่วฉี ก็ปรากฏตัวขึ้นบนพื้น แล้วทำทีเป็นตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
‘ ฉันก็นึกว่าพวกแกมีหลักฐานอะไรถึงมั่นใจแบบนั้น…ที่แท้ก็เอกสารไร้สาระพวกนี้ ขอแค่ฉันบอกว่ามันเป็นของปลอม พวกแกยังจะทำอะไรได้ ’
จากนั้นเขาก็หันไปทางพวกคังหลินและกำลังจะพูดคำตัดสินออกมา
แต่ทว่า..
!!
ฮ่า ฮาๆๆๆ
“ พวกแกขำอะไร…หรือกลัวตายจนเป็นบ้าไปแล้ว ” ผู้อาวุโสหลิ่วฉีพูดขึ้นด้วยท่าทีโมโห อยากให้เขาตรวจสอบหลักฐาน เขาก็ตรวจให้แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาเสียงดัง โดยไม่สนใจเขาเลยซักนิด
ตอนนี้คังหลินกับฉินกวงลี่กำลังพยายามกลั้นหัวเราะกันอยู่สองคน ตอนแรกพวกเขาก็ไม่ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ แต่พอมองชายสวมหน้ากากกอดศพร้องไห้แล้วมันอดไม่ได้จริงๆ
“ พวกเราไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นผู้อาวุโส…เพียงแต่สิ่งที่ได้เห็นมันทำให้อดขำไม่ได้เลยจริงๆ ” คังหลินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ ฉันให้เวลาแกหนึ่งนาที…ถ้าไม่มีคำอธิบายดีๆ ฉันจะสังหารพวกแกทันที โทษฐานที่บังอาจมาล้อเล่นกับฉัน ” ผู้อาวุโสหลิ่วฉีตวาดออกมาด้วยแววตาเย็นชา
“ ได้…งั้นฉันขอถามชายสวมหน้ากากคนนั้นหน่อย เขาผูกพันกับฉินซู่โหวแค่ไหน อยู่ด้วยกันมานานกี่ปี ถึงได้ตัดสินใจมาแก้แค้น ”
เมื่อได้ยินคำถามของคังหลิน ชายสวมหน้ากากก็หยุดคิดเพียงเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมาตามบทที่เตรียมไว้
“ ฉันเป็นเด็กกำพร้า…พ่อบุญธรรมเก็บฉันมาเลี้ยงตั้งแต่สิบขวบ เขาเป็นคนฝึกฝนฉันด้วยตัวเอง จนกระทั่งเวลาผ่านไปยี่สิบปี ฉันก็บรรลุขอบเขตปรมาจารย์ในที่สุด ”
“ เพราะต้องการส่งเสริมฉันให้เป็นยอดฝีมือ…เมื่อสามปีก่อนพ่อบุญธรรมจึงแอบส่งฉันออกจากเมืองเหล็กดำแบบลับๆ เพื่อไปเข้ารับการทดสอบศิษย์สายนอกของสำนักซงซาน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ไม่มีข้อมูลของฉันในเงาปีศาจ ”
“ ความผูกพันของพวกเรานั้น เป็นยิ่งกว่าพ่อลูกร่วมสายโลหิต ตลอดยี่สิบปีที่อยู่ร่วมกันมา ฉันรู้นิสัยของพ่อบุญธรรมดี เขาไม่มีทางทำแบบที่พวกแกกล่าวหาแน่นอน”
เมื่อฟังอีกฝ่ายพูดจบ คังหลินก็ปรบมือให้เสียงดัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน