หน้าตำหนักเจ้าเมืองตระกูลฉิน
หลังจากการปรากฏตัวของผู้อาวุโสหก การต่อสู้อันดุเดือดก็เปิดฉากขึ้นต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาเกือบยี่สิบนาที ถือเป็นโชคดีที่ชายสวมหน้ากากถูกสังหารไปก่อน
คังหลินจึงสามารถใช้ตรวนสยบเทวะ ครึ่งหนึ่งไปพันผู้อาวุโสหกเอาไว้ ทำให้เขาใช้พลังได้ไม่เต็มที่ จากนั้นองครักษ์ห้าร้อยคนก็ยิงเกาทัณฑ์เข้าใส่อย่างรุนแรง บีบให้อีกฝ่ายตกอยู่สถานการณ์ที่ต้องป้องกันตัวเองอย่างต่อเนื่อง
แต่การแบ่งพลังค่ายกลออกเป็นสองส่วน ทำให้ประสิทธิภาพของมันลดลงมาก ทำได้เพียงแค่ผนึกเอาไว้เพื่อถ่วงเวลา ไม่สามารถใช้โจมตีได้เหมือนที่วางแผนไว้
นอกจากนี้กองทหารม้ารักษาเมืองหนึ่งพันคน ก็เข้าร่วมศึกครั้งนี้ด้วย เป้าหมายของพวกเขาคือ ผู้อาวุโสหลิ่วฉีที่โดนโซ่สีทองผนึกไว้
มองเห็นขวานบินนับสิบเล่มซัดออกไปพร้อมกัน พร้อมฝนลูกเกาทัณฑ์เต็มท้องฟ้า การโจมทีทุกอย่างเข้าเป้าอย่างแม่นยำ
แต่ทว่า
อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงเซียนขั้นกลาง ความแข็งแกร่งของร่างกาย ได้อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ธรรมดาไปไกล
เปรี้ยงงๆๆๆๆ ฉึกๆๆๆๆๆ
ไม่มีคมอาวุธใดเจาะผ่านชั้นกล้ามเนื้อของผู้อาวุโสหลิ่วฉีไปได้ มันทิ้งเพียงบาดแผลตื้นๆเอาไว้เท่านั้น
ถึงแม้ร่างกายเขาจะเต็มไปด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน แต่สีหน้าของเขากลับไร้ซึ่งความหวาดกลัว จิตสังหารของเขาระเบิดออกมาอย่างรุนแรง
“ พวกมดปลวก ตายซะ! ”
มองเห็นผู้อาวุโสหลิ่วฉี กระชากโซ่สีทองเส้นหนึ่งขาด จากนั้นก็ฟันกระบี่ในมือออกไป รังสีกระบี่สายหนึ่งกวาดผ่านขบวนทหารม้าที่อยู่ใกล้ที่สุด
ศีรษะทหารสิบกว่าหัวกระเด็นขึ้นฟ้า
ในสถานการณ์ความเป็นความตาย ไม่มีใครสนใจเรื่องกฎของสมาพันธ์บู๊ลิ้มอีกแล้ว ผู้อาวุโสหลิ่วฉีเข่นฆ่าสังหารอย่างบ้าคลั่งจน หน้าตำหนักเจ้าเมืองกลายเป็นทะเลเลือด
ถ้าไม่ใช่เพราะถูกค่ายกลของคังหลินผูกมัดเอาไว้ ทำให้ใช้พลังได้เพียงสามส่วน การโจมตีที่แท้จริงของเขาคงสังหารทหารได้เกือบร้อย
“ นี่คือ…พลังที่แท้จริงของเซียนงั้นเหรอ ” ฉินกวงลี่พึมพำออกมาเบาๆด้วยใบหน้าซีดขาว ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นเซียนต่อสู้มาก่อน เคยแต่ได้อ่านจากบันทึกประวัติศาสตร์
ตำนานบอกว่าเหล่าเซียนจุติลงมาจากบนฟ้าเมื่อห้าร้อยปีก่อน ห้าจักรพรรดิในเวลานั้นเคยรวมทหารกล้าแกร่งสิบล้านคนเข้าต่อกร กับเซียนห้าร้อยคน
ผลสุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับความบอบช้ำอย่างแสนสาหัส ฝ่ายสำนักโบราณมีเซียนเกือบสองร้อยคนถูกสังหาร ส่วนฝ่ายห้าจักรพรรดกลับยับเยินยิ่งกว่า ทหารกล้าสิบล้านคนเหลือรอดเพียงหนึ่งแสนคนเท่านั้น
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงกันได้ ผ่านมาห้าร้อยปีก็ไม่เคยเกิดการต่อสู้ขึ้นมาอีก ทำให้คนรุ่นหลังที่เกิดมา ไม่เคยสัมผัสพลังที่แท้จริงของเซียนด้วยตาตัวเอง พวกเขาจึงคิดว่า เรื่องเล่าทั้งหมดเป็นเพียงตำนานที่เกินจริง
ดังนั้นตอนที่คังหลินวางแผนสังหารเซียนจึงไม่มีใครคัดค้าน พวกเขามั่นใจด้วยค่ายกลระดับห้าและทหารเกือบสองพันคน ย่อมได้รับชัยชนะแน่นอน
แต่ความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า มันกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิง
ภายในเวลาเพียงยี่สิบนาที ทหารม้ารักษาเมืองตายไปเกือบสามร้อยคน บาดเจ็บอีกเกินครึ่ง ส่วนองครักษ์ตระกูลฉิน เพราะได้คังหลินเป็นผู้บัญชาการ เลยถูกสังหารไปเพียงแค่ห้าสิบคนเท่านั้น
แต่เขาก็ทำได้เพียงถ่วงเวลาออกไป ไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้
“ ส่งกองกำลังทั้งหมดของเราออกไป…เราจะปล่อยให้ตระกูลฉินถูกทำลายไม่ได้เด็ดขาด ” องค์หญิงฉินฟ่านเออร์ เข้ามาสั่งการด้วยตัวเอง ในช่วงสามวันที่ผ่านมาเธอได้ไปพบหัวหน้าตระกูลใหญ่ทุกคนในเมืองเหล็กดำเพื่อเพิ่มขุมกำลังให้ตัวเอง
เวลานี้เธอได้อาศัยกองกำลัง ยอดฝีมือระดับผู้เชี่ยวชาญนับร้อยประสานงานกับคังหลิน เข้ากดดันผู้อาวุโสหกเอาไว้
“ ตระกูลฉิน…จะต้องจบสิ้นลงในรุ่นของฉันงั้นเหรอ ” ฉินป๋ออวิ๋นพูดออกมาด้วยเสียงอ่อนแรง มุมปากของเขามีเลือดไหลซึมอกมาเป็นสาย เขาต้องการเห็นศึกตัดสินชะตากรรมของตระกูลฉินด้วยตาตัวเอง
ตัวเขานั้นถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีหลานสาวสองคนคอยพยุงเอาไว้ คงล้มลงไปแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อีก
ในตอนทุกคนต่างสิ้นหวัง การดิ้นรนของพวกเขาทำได้เพียงยืดเวลาตายออกไปเท่านั้น ศึกครั้งนี้มันไม่มีทางชนะตั้งแต่แรก
เก้งๆๆๆๆ
ทหารหลายคนเริ่มโยนอาวุธทิ้ง แล้วหลบหนีออกไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขาสมัครเป็นทหารเพราะอยากเลี้ยงดูครอบครัว
อย่างไรวันนี้ตระกูลฉินก็ต้องจบสิ้นลง แล้วทำไมพวกเขาต้องยอมตายอย่างไร้ค่าด้วย
“ เงาปีศาจฟังคำสั่ง…ใครหลบหนีการต่อสู้ ให้สังหารทิ้งทันที ” องค์หญิงฉินฟ่านเออร์สั่งการอย่างเด็ดขาด ตอนนี้กองกำลังเงาปีศาจทั้งหมดอยู่ในความควบคุมของเธอ
‘ แปลกมาก…ในเวลาแบบนี้ทำไมฉันถึงยังไม่รู้สึกว่าจะแพ้เลย ทั้งที่สถานการณ์ของพวกเราดูสิ้นหวังเป็นอย่างมาก ’
‘ พวกเรายังมีหนทางชนะเหลืออยู่…งั้นเหรอ ’
สายตาของเธอหันมองไปทางหอคัมภีร์ลับโดยไม่รู้ตัว
‘ นี่ฉันคิดไร้สาระอะไรอยู่…ฉินหวงไม่มีทางสู้เซียนสองคนนี้ได้อยู่แล้ว ฉันต้องวางแผนพลิกสถานการณ์เอง จะหวังพึ่งคนอื่นไม่ได้ ’
ไม่ใช่แค่องค์หญิงเท่านั้น ที่หันมองไปทางหอคัมภีร์บ่อยๆ แต่ทุกคนในตระกูลฉินก็ทำแบบนี้เช่นกัน
มันเป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ทุกคน ในเวลาที่ตกอยู่ในความสิ้นหวัง ย่อมหวังให้มีวีรบุรุษเข้ามากอบกู้สถานการณ์ ช่วยชีวิตพวกเขาและเอาชนะศัตรูทั้งหมด
“ วิชาค่ายกลของแกน่าสนใจดีนี่…ถ้าแกยอมทำพันธสัญญาทาส ฉันจะไว้ชีวิตครอบครัวของแกเอาไหม คิดให้ดีก่อนจะตอบล่ะ ” ผู้อาวุโสหกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลระดับนี้ถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่ล้ำค่ามาก ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนของโลกหมิงหลง ที่สามารถใช้สัญญาทาสควบคุมได้ยิ่งดีเข้าไปอีก
ด้วยความสามารถของคังหลิน จะต้องยกระดับค่ายกลป้องกันของสำนักซงซาน ขึ้นไปเทียบเท่ากับพวกห้าสำนักใหญ่ได้แน่นอน
เชื่อว่าเจ้าสำนักจะต้องดีใจจนแทบคลั่งแน่ หากเขาสามารถจับตัวคังหลินกลับไปได้
“ ดูเหมือนพวกคุณจะมั่นใจมากเลยนะ คิดว่าพวกเราไม่มีหนทางตอบโต้แล้วงั้นเหรอ ” คังหลินพูดออกมาด้วยท่าทางเฉยชา เขายังคงควบคุมค่ายกลตรวนสยบเทวะ ประสานการโจมตีพร้อมกับพวกองครักษ์ตระกูลฉิน เพื่อพัวพันผู้อาวุโสหกไว้อย่างต่อเนื่อง
“ เหอะ…ฉันจะคอยดู เมื่อไหร่ทหารของพวกแกถูกฆ่าตายจนหมด ยังจะเหลือความมั่นใจแบบนี้อยู่อีกมั้ย ”
“ ฉันกลัวว่า…คุณจะไม่มีโอกาสได้เห็นนะสิ ” คังหลินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม เขาสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของจ้าวเทียนได้ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน