จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 205

หน้าตำหนักเจ้าเมืองตระกูลฉิน

หลังจากการปรากฏตัวของผู้อาวุโสหก การต่อสู้อันดุเดือดก็เปิดฉากขึ้นต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาเกือบยี่สิบนาที ถือเป็นโชคดีที่ชายสวมหน้ากากถูกสังหารไปก่อน

คังหลินจึงสามารถใช้ตรวนสยบเทวะ ครึ่งหนึ่งไปพันผู้อาวุโสหกเอาไว้ ทำให้เขาใช้พลังได้ไม่เต็มที่ จากนั้นองครักษ์ห้าร้อยคนก็ยิงเกาทัณฑ์เข้าใส่อย่างรุนแรง บีบให้อีกฝ่ายตกอยู่สถานการณ์ที่ต้องป้องกันตัวเองอย่างต่อเนื่อง

แต่การแบ่งพลังค่ายกลออกเป็นสองส่วน ทำให้ประสิทธิภาพของมันลดลงมาก ทำได้เพียงแค่ผนึกเอาไว้เพื่อถ่วงเวลา ไม่สามารถใช้โจมตีได้เหมือนที่วางแผนไว้

นอกจากนี้กองทหารม้ารักษาเมืองหนึ่งพันคน ก็เข้าร่วมศึกครั้งนี้ด้วย เป้าหมายของพวกเขาคือ ผู้อาวุโสหลิ่วฉีที่โดนโซ่สีทองผนึกไว้

มองเห็นขวานบินนับสิบเล่มซัดออกไปพร้อมกัน พร้อมฝนลูกเกาทัณฑ์เต็มท้องฟ้า การโจมทีทุกอย่างเข้าเป้าอย่างแม่นยำ

แต่ทว่า

อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงเซียนขั้นกลาง ความแข็งแกร่งของร่างกาย ได้อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ธรรมดาไปไกล

เปรี้ยงงๆๆๆๆ ฉึกๆๆๆๆๆ

ไม่มีคมอาวุธใดเจาะผ่านชั้นกล้ามเนื้อของผู้อาวุโสหลิ่วฉีไปได้ มันทิ้งเพียงบาดแผลตื้นๆเอาไว้เท่านั้น

ถึงแม้ร่างกายเขาจะเต็มไปด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน แต่สีหน้าของเขากลับไร้ซึ่งความหวาดกลัว จิตสังหารของเขาระเบิดออกมาอย่างรุนแรง

“ พวกมดปลวก ตายซะ! ”

มองเห็นผู้อาวุโสหลิ่วฉี กระชากโซ่สีทองเส้นหนึ่งขาด จากนั้นก็ฟันกระบี่ในมือออกไป รังสีกระบี่สายหนึ่งกวาดผ่านขบวนทหารม้าที่อยู่ใกล้ที่สุด

ศีรษะทหารสิบกว่าหัวกระเด็นขึ้นฟ้า

ในสถานการณ์ความเป็นความตาย ไม่มีใครสนใจเรื่องกฎของสมาพันธ์บู๊ลิ้มอีกแล้ว ผู้อาวุโสหลิ่วฉีเข่นฆ่าสังหารอย่างบ้าคลั่งจน หน้าตำหนักเจ้าเมืองกลายเป็นทะเลเลือด

ถ้าไม่ใช่เพราะถูกค่ายกลของคังหลินผูกมัดเอาไว้ ทำให้ใช้พลังได้เพียงสามส่วน การโจมตีที่แท้จริงของเขาคงสังหารทหารได้เกือบร้อย

“ นี่คือ…พลังที่แท้จริงของเซียนงั้นเหรอ ” ฉินกวงลี่พึมพำออกมาเบาๆด้วยใบหน้าซีดขาว ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นเซียนต่อสู้มาก่อน เคยแต่ได้อ่านจากบันทึกประวัติศาสตร์

ตำนานบอกว่าเหล่าเซียนจุติลงมาจากบนฟ้าเมื่อห้าร้อยปีก่อน ห้าจักรพรรดิในเวลานั้นเคยรวมทหารกล้าแกร่งสิบล้านคนเข้าต่อกร กับเซียนห้าร้อยคน

ผลสุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับความบอบช้ำอย่างแสนสาหัส ฝ่ายสำนักโบราณมีเซียนเกือบสองร้อยคนถูกสังหาร ส่วนฝ่ายห้าจักรพรรดกลับยับเยินยิ่งกว่า ทหารกล้าสิบล้านคนเหลือรอดเพียงหนึ่งแสนคนเท่านั้น

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงกันได้ ผ่านมาห้าร้อยปีก็ไม่เคยเกิดการต่อสู้ขึ้นมาอีก ทำให้คนรุ่นหลังที่เกิดมา ไม่เคยสัมผัสพลังที่แท้จริงของเซียนด้วยตาตัวเอง พวกเขาจึงคิดว่า เรื่องเล่าทั้งหมดเป็นเพียงตำนานที่เกินจริง

ดังนั้นตอนที่คังหลินวางแผนสังหารเซียนจึงไม่มีใครคัดค้าน พวกเขามั่นใจด้วยค่ายกลระดับห้าและทหารเกือบสองพันคน ย่อมได้รับชัยชนะแน่นอน

แต่ความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า มันกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิง

ภายในเวลาเพียงยี่สิบนาที ทหารม้ารักษาเมืองตายไปเกือบสามร้อยคน บาดเจ็บอีกเกินครึ่ง ส่วนองครักษ์ตระกูลฉิน เพราะได้คังหลินเป็นผู้บัญชาการ เลยถูกสังหารไปเพียงแค่ห้าสิบคนเท่านั้น

แต่เขาก็ทำได้เพียงถ่วงเวลาออกไป ไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้

“ ส่งกองกำลังทั้งหมดของเราออกไป…เราจะปล่อยให้ตระกูลฉินถูกทำลายไม่ได้เด็ดขาด ” องค์หญิงฉินฟ่านเออร์ เข้ามาสั่งการด้วยตัวเอง ในช่วงสามวันที่ผ่านมาเธอได้ไปพบหัวหน้าตระกูลใหญ่ทุกคนในเมืองเหล็กดำเพื่อเพิ่มขุมกำลังให้ตัวเอง

เวลานี้เธอได้อาศัยกองกำลัง ยอดฝีมือระดับผู้เชี่ยวชาญนับร้อยประสานงานกับคังหลิน เข้ากดดันผู้อาวุโสหกเอาไว้

“ ตระกูลฉิน…จะต้องจบสิ้นลงในรุ่นของฉันงั้นเหรอ ” ฉินป๋ออวิ๋นพูดออกมาด้วยเสียงอ่อนแรง มุมปากของเขามีเลือดไหลซึมอกมาเป็นสาย เขาต้องการเห็นศึกตัดสินชะตากรรมของตระกูลฉินด้วยตาตัวเอง

ตัวเขานั้นถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีหลานสาวสองคนคอยพยุงเอาไว้ คงล้มลงไปแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อีก

ในตอนทุกคนต่างสิ้นหวัง การดิ้นรนของพวกเขาทำได้เพียงยืดเวลาตายออกไปเท่านั้น ศึกครั้งนี้มันไม่มีทางชนะตั้งแต่แรก

เก้งๆๆๆๆ

ทหารหลายคนเริ่มโยนอาวุธทิ้ง แล้วหลบหนีออกไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขาสมัครเป็นทหารเพราะอยากเลี้ยงดูครอบครัว

อย่างไรวันนี้ตระกูลฉินก็ต้องจบสิ้นลง แล้วทำไมพวกเขาต้องยอมตายอย่างไร้ค่าด้วย

“ เงาปีศาจฟังคำสั่ง…ใครหลบหนีการต่อสู้ ให้สังหารทิ้งทันที ” องค์หญิงฉินฟ่านเออร์สั่งการอย่างเด็ดขาด ตอนนี้กองกำลังเงาปีศาจทั้งหมดอยู่ในความควบคุมของเธอ

‘ แปลกมาก…ในเวลาแบบนี้ทำไมฉันถึงยังไม่รู้สึกว่าจะแพ้เลย ทั้งที่สถานการณ์ของพวกเราดูสิ้นหวังเป็นอย่างมาก ’

‘ พวกเรายังมีหนทางชนะเหลืออยู่…งั้นเหรอ ’

สายตาของเธอหันมองไปทางหอคัมภีร์ลับโดยไม่รู้ตัว

‘ นี่ฉันคิดไร้สาระอะไรอยู่…ฉินหวงไม่มีทางสู้เซียนสองคนนี้ได้อยู่แล้ว ฉันต้องวางแผนพลิกสถานการณ์เอง จะหวังพึ่งคนอื่นไม่ได้ ’

ไม่ใช่แค่องค์หญิงเท่านั้น ที่หันมองไปทางหอคัมภีร์บ่อยๆ แต่ทุกคนในตระกูลฉินก็ทำแบบนี้เช่นกัน

มันเป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ทุกคน ในเวลาที่ตกอยู่ในความสิ้นหวัง ย่อมหวังให้มีวีรบุรุษเข้ามากอบกู้สถานการณ์ ช่วยชีวิตพวกเขาและเอาชนะศัตรูทั้งหมด

“ วิชาค่ายกลของแกน่าสนใจดีนี่…ถ้าแกยอมทำพันธสัญญาทาส ฉันจะไว้ชีวิตครอบครัวของแกเอาไหม คิดให้ดีก่อนจะตอบล่ะ ” ผู้อาวุโสหกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลระดับนี้ถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่ล้ำค่ามาก ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนของโลกหมิงหลง ที่สามารถใช้สัญญาทาสควบคุมได้ยิ่งดีเข้าไปอีก

ด้วยความสามารถของคังหลิน จะต้องยกระดับค่ายกลป้องกันของสำนักซงซาน ขึ้นไปเทียบเท่ากับพวกห้าสำนักใหญ่ได้แน่นอน

เชื่อว่าเจ้าสำนักจะต้องดีใจจนแทบคลั่งแน่ หากเขาสามารถจับตัวคังหลินกลับไปได้

“ ดูเหมือนพวกคุณจะมั่นใจมากเลยนะ คิดว่าพวกเราไม่มีหนทางตอบโต้แล้วงั้นเหรอ ” คังหลินพูดออกมาด้วยท่าทางเฉยชา เขายังคงควบคุมค่ายกลตรวนสยบเทวะ ประสานการโจมตีพร้อมกับพวกองครักษ์ตระกูลฉิน เพื่อพัวพันผู้อาวุโสหกไว้อย่างต่อเนื่อง

“ เหอะ…ฉันจะคอยดู เมื่อไหร่ทหารของพวกแกถูกฆ่าตายจนหมด ยังจะเหลือความมั่นใจแบบนี้อยู่อีกมั้ย ”

“ ฉันกลัวว่า…คุณจะไม่มีโอกาสได้เห็นนะสิ ” คังหลินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม เขาสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของจ้าวเทียนได้ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน