เวลาประมาณสองทุ่ม จ้าวเทียนเดินออกมาจากสุสานกระบี่ ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามของสำนักหัวซาน โดยที่ด้านข้างมีหยางเจี๋ยเดินตามออกมาด้วย
“ นายแน่ใจเหรอว่าจะไม่อยู่ต่ออีกหน่อย สำนึกกระบี่ที่ท่านอาจารย์ทิ้งเอาไว้ มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดายมากเลยนะ ” หยางเจี๋ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
ปกติแล้วจะมีแต่คนเข้าไปแล้วไม่ค่อยยอมออกมา แม้แต่ตัวเขาเอง ครั้งแรกที่เข้าสู่สุสานกระบี่ ก็ใช้เวลาเก็บตัวอยู่ในนี้นานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
เนื่องมาจากผนังทั้งสี่ด้าน ถูกเทพกระบี่ใช้สำนึกกระบี่ขั้นสูงสุด แกะสลักกระบวนท่าเก้ากระบี่เดียวดายเอาไว้
ขอแค่ได้ตระหนักรู้พวกมันก็จะสามารถบรรลุเคล็ดวิชาได้อย่างรวดเร็ว
“ ไม่จำเป็นหรอก…ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่ ไว้คราวหน้าหากมีโอกาสฉันจะมาเยือนที่นี่ไหม่ ” จ้าวเทียนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
‘ อันที่จริงขอบเขตกระบี่ของฉันสูงกว่าอาจารย์ของคุณอยู่ขั้นใหญ่ แค่กวาดตามองครั้งเดียวก็เข้าถึงสำนึกเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดายได้แล้ว ’
‘ แต่เรื่องนี้…ฉันคิดว่าเงียบเอาไว้จะดีกว่า ’
การจะเรียนรู้เคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดาย จะมีอยู่สองขั้นตอน อันดับแรกจะต้องได้รับเคล็ดวิชาซึ่งมีอยู่ประมาณสามพันคำ ถ่ายทอดกันด้วยคำพูดเท่านั้น ไม่มีการบันทึกเอาไว้เป็นตัวอักษร
ส่วนเมื่อได้รับเคล็ดวิชามาแล้ว ขั้นต่อไปก็จะต้องไปสุสานกระบี่ เพื่อจดจำกระบวนท่าและซึมซับสำนึกกระบี่ที่เทพกระบี่ทิ้งเอาไว้
ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของแต่ละคน อย่างเร็วที่สุดก็เจ็ดวันเหมือนกับหยางเจี๋ย ถ้าใครมีพรสวรรค์ด้อยมาหน่อยก็อาจจะใช้เวลาเป็นเดือน ถึงจะเข้าใจเคล็ดวิชาได้อย่างถ่องแท้ และสามารถฝึกฝนด้วยตัวเองได้
แต่สำหรับจ้าวเทียนนั้น เขาใช้เวลาในสุสานกระบี่ไปเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เมื่อรวมกับเวลาในการท่องจำเคล็ดวิชาอีกหนึ่งชั่วโมง
ก็เท่ากับว่า เขาใช้เวลาไปเพียงสองชั่วโมงในการบรรลุเคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดายได้อย่างสมบูรณ์
“ แต่ฉันก็นึกไม่ถึงเลยนะ ที่ท่านอาจารย์ได้มอบเคล็ดวิชาฉบับสมบูรณ์ให้คุณไปตั้งแต่แรกแล้ว นี่มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ”
ในตอนแรกที่หยางเจี๋ยได้รู้เรื่องนี้ ก็อดรู้สึกอิจฉาจ้าวเทียนไม่ได้ ที่สามารถได้รับเคล็ดวิชาฉบับสมบูรณ์ไปอย่างง่ายดาย
ต้องรู้ก่อนว่าภายในสำนักหัวซาน ผู้ที่ได้รับโอกาสให้เรียนรู้วิชาเก้ากระบี่เดียวดายฉบับสมบูรณ์นั้น นอกจากหยางเจี๋ยที่ถูกคัดเลือกมาเป็นผู้สืบทอด ก็มีเพียงสี่คน
ซึ่งทุกคนล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสระดับสูง ที่สร้างความดีความชอบให้กับสำนักหัวซาน จึงจะได้รับโอกาสนี้ แม้แต่หลานชายของเขาเองก็ยังถือว่าไม่มีคุณสมบัติพอ
แต่หลังจากที่ได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของจ้าวเทียน เขาก็รู้สึกว่าท่านอาจารย์คิดถูกแล้ว มีแต่คนแบบจ้าวเทียนเท่านั้น จึงเหมาะที่จะเรียนรู้เคล็ดวิชาระดับนี้ และทำให้มันประกาศศักดาไปทั่วยุทธภพได้
หลังจากแยกทางกับหยางเจี๋ย จ้าวเทียนก็เดินกลับไปยังรับรอง ที่ทางสำนักหัวซานจัดเตรียมไว้ให้
แต่ที่หน้าห้องของเขานั้น ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว
!!
‘ กงเสี่ยวเหมย มาหาฉันงั้นเหรอ’
จ้าวเทียนคิดขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีผิดสังเกต เพราะเอาเข้าจริงๆ จ้าวเทียนก็ไม่รู้ว่าจะเปิดเผยตัวตนออกไปเลยดีไหม
ใจหนึ่งเขาก็คิดว่ายังไม่ถึงเวลา ให้รอจนกว่าจะจัดการเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อย แล้วตอนที่ไปสำนักสุสานโบราณในอีกห้าวันให้หลัง เขาค่อยรับตัวเธอกลับมาทีเดียว
ฝ่ายกงเสี่ยวเหมยที่เห็นจ้าวเทียน เธอก็มีท่าทีแปลกไปทันที สายตาของเธอจับจ้องไปที่หน้ากากของจ้าวเทียน เหมือนกับต้องการจะมองให้ทะลุไปถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา
ก่อนหน้านี้เธอได้ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดของชายที่ชื่อว่าฉินหวงแล้ว ซึ่งก็พบว่าเขามีตัวตนจริงๆอยู่ในโลกหมิงหลง ไม่ใช่คนที่เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นมาในไม่กี่วัน เธอจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะใช่คนที่เธอคิดหรือเปล่า
ซึ่งเหตุผลที่เธอทำแบบนั้น ก็เพราะว่าเธอได้รู้เรื่องประกาศิตล่าสังหารของสมาพันธ์บู๊ลิ้ม และตัวตนของผู้ที่กำลังถูกตามล่า
ตอนนี้ผู้ชายที่เธอคิดถึงอยู่ทุกวัน ได้เข้ามาอยู่ในโลกใบเดียวกับเธอแล้ว
‘ จากที่ศิษย์พี่เล่าให้ฟัง…ฉินหวงแสดงท่าทีเป็นห่วงฉันมาก เหมือนกับว่าเขามีใจให้ฉัน ซึ่งนั่นมันไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะกองกำลังเงาปีศาจทุกคนต้องทำลายความเป็นชายของตัวเอง ’
‘ อีกทั้งพวกเราก็เพิ่งพบหน้ากัน เขาไม่สมควรแสดงออกแบบนั้น ยกเว้นเพียงอย่างเดียว ชายคนนี้จะต้องเป็นคนรู้จักฉันจากโลกภายนอก ’
“ ฉันไม่ได้ มารบกวนเวลาของคุณใช่ไหม ” กงเสี่ยวเหมยเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน เธออยากจะทดสอบอะไรบางอย่าง
“ ไม่หรอก… ” จ้าวเทียนตอบออกไปสั้นๆ เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ในใจเขาตอนนี้กำลังพยายามคาดเดาจุดประสงค์ของเธออยู่
“ ฉันมีเรื่องบางอย่าง อยากจะถามคุณ ” เธอพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
จ้าวเทียนที่เห็นแบบนั้น ก็เดินไปเปิดประประตูห้องแล้วเชิญเธอเข้ามา สถานที่แห่งนี้มีคนนอกอยู่มากเกินไป ไม่เหมาะสมจะมายืนคุยกันเท่าไหร่
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยและเดินเข้าห้องไปด้วยกัน ตรงเงามืดของกำแพงที่ห่างออกไปไม่ไกล ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งก้าวออกมา
“ เป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้จริงๆ ” กงหมิงยู่พึมพำออกมาเบาๆ เธอหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจจากไป
เพราะไม่มั่นใจว่า จะสามารถเข้าไปใกล้กว่านี้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกตัวได้
ซึ่งความคิดของเธอนั้นถูกต้องแล้ว ตั้งแต่ที่เจอกงเสี่ยวเหมยยืนรออยู่ จ้าวเทียนก็ใช้เจตจำนงกระบี่ของเขาตรวจสอบพื้นที่โดยรอบเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่า กงหมิงยู่ย่อมไม่อาจซ่อนตัวจากจ้าวเทียนได้
หลังจากเข้ามาในห้องเรียบร้อย จ้าวเทียนก็รินน้ำชาให้กงเสี่ยวเหมยแล้วบอกให้เธอนั่งลงเพื่อที่จะได้พูดคุยกัน
แต่ทว่า กงเสี่ยวเหมยกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เธอยืนจ้องมองใบหน้าที่สวมหน้ากากของจ้าวเทียนเงียบๆ
จากนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน