คำประกาศของจ้าวเทียนแทบจะส่งผลทันที ขอเพียงเป็นผู้ที่มีความคิด ย่อมมองออกถึงสิ่งที่จ้าวเทียนต้องการจะสื่อ
เมื่อใดก็ตามที่ทางสมาพันธ์บู๊ลิ้มจะลงโทษ ผู้ที่รับเคราะห์ย่อมเป็นสำนักเล็กๆหรือพวกศิษย์ระดับล่างที่ไม่ค่อยมีความสำคัญอยู่แล้ว
ทำให้ตอนนี้ไม่มีใครต้องการจะเข้าร่วมอีก พวกเขาต่างพากันถอนตัวจนหมด แม้แต่ศิษย์ของสี่สำนักที่เหลือเอง ก็ยังแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากตกเป็นเครื่องมือเช่นกัน
ทันใดนั้น
“ กล้าดียังไง มาใส่ร้ายพวกฉัน! ”
ครืนนน!
ความกดดันอันมหาศาลกวาดไปทั่วลานประลอง ทำให้ผู้คนที่กำลังส่งเสียงต่างพากันหุบปากเงียบด้วยความหวาดกลัว
จ้อเซียงหยุนเดินเหยียบอากาศลงมายืนบนเวทีประลอง เผชิญหน้ากับพวกจ้าวเทียน โดยที่ด้านหลังของเขายังมีเจ้าสำนักอีกสามคนติดตามมาด้วย
ในเมื่อเรื่องมันดำเนินมาถึงขั้นนี้ ก็คงมีแต่ใช้กำลังกดดันเอาเท่านั้น เพราะพวกเขาไม่มีทางยอมให้แผนการทุกอย่างต้องจบไปทั้งแบบนี้แน่นอน
“ ให้ร้ายงั้นเหรอ…งั้นพวกคุณกล้าสาบานต่อจิตวิญญาณของตัวเองหรือเปล่า ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับแผนการลอบสังหารเมื่อแปดปีก่อน ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ นี่แก…แกคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมาสั่งฉัน ” จ้อเซียงหยุนพูดขึ้นด้วยความเดือดดาล เขาไม่มีทางยอมสาบานเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเมื่อผิดคำสาบานจะทำให้เกิดจิตมารในตอนทะลวงขอบเขตขั้นต่อไปได้
“ ฉินหวง…สิ่งที่แกพูดออกมาเป็นการมันดูหมิ่นพวกฉันอยากร้ายแรงเลยนะ คิดว่าพวกฉันจะปล่อยให้เรื่องมันจบไปง่ายๆงั้นเหรอ ” เจ้าสำนักไท่ซานพูดขึ้นด้วยแววตาดุดัน ปลดปล่อยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
“ ใช่แล้ว…อย่าคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์แล้วจะมาพูดจาอวดดีได้ อย่าลืมว่าตัวแกเป็นคนของโลกหมิงหลง ไม่สามารถบรรลุเป็นเซียนได้ ขีดจำกัดของแกก็คือปรมาจารย์ขั้นสูงเท่านั้น ”
“ สำหรับพวกฉันแล้ว…หากต้องการสังหารแก ก็ไม่ต่างจากบี้มดตัวหนึ่ง ” เจ้าสำนักเฮ่งซานเองก็พูดกดดันเช่นกัน
“ เหอะ…กล้าข่มขู่คนต่อหน้าฉันงั้นเหรอ พวกนายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ” หยางเจี๋ยพูดขึ้นด้วยความโกรธ เขาปรากฏตัวขึ้นยืนขวางหน้าจ้าวเทียนเอาไว้ เพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้ามลอบโจมตี
จ้าวเทียนเองก็รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี เขาถึงถอยออกมาด้านหลัง ให้หยางเจี๋ยรับหน้าฝ่ายตรงข้ามคนเดียว
‘ ถ้าฉันต้องการสู้กับคนพวกนี้…ก็ต้องเปิดเผยพลังในขอบเขตเซียนออกมา ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเรื่องตัวตนของฉันจะถูกอีกฝ่ายเดาออกทันที ’
ตอนนี้พลังของจ้าวเทียนอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นต่ำ ถ้าเขาเอาจริงด้วยเจตน์แห่งกระบี่ย่อมสามารถจัดการเซียนขั้นสูงสุดได้ แต่ก็จำกัดไว้เฉพาะในการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งเท่านั้น หากโดนรุมก็คงไม่ไหวเหมือนกัน
“ หยางเจี๋ย…นายคิดว่าจะรับมือกับพวกเราพร้อมกันสี่คนได้งั้นเหรอ อย่าทะนงตนให้มันมากนัก ” จ้อเซียงหยุนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
แม้ฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาก็จริง แต่ถ้าเป็นการต่อสู้แบบสี่ต่อหนึ่ง อย่างไรซะพวกเขาก็ได้เปรียบ
“ จริงอยู่…ที่ฉันคนเดียวไม่สามารถสู้กับพวกนายได้ แต่ลืมอะไรไปหรือเปล่า ว่าที่นี่คือที่ไหน ”
สิ้นเสียงของหยางเจี๋ย ก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที
ครืนนน!
เขตอาคมปิดกั้นของสำนักซงซานสลายไป จากนั้นค่ายกลป้องกันของสำนักหัวซานก็ถูกเปิดใช้งานในพริบตา
แวบบ!
เสาลำแสงขนาดใหญ่ระเบิดออกมาจากส่วนลึกสุดของสำนักหัวซาน มันเชื่อมต่อกับแผ่นฟ้าเบื้องบน
จนกระทั่งเมื่อแสงสว่างนั้นหายไป รังสีกระบี่นับแสนก็ตกลงมาจากท้องฟ้า พวกมันได้รวมตัวกันกลายเป็นกระบี่ขนาดยักษ์สี่เล่มชี้ตรงไปที่พวกจ้อเซียงหยุน
!!
“ นี่มัน…ค่ายกลกระบี่บรรพชน ”
พวกจ้อเซียงหยุนสยิวกายขึ้นด้วยความหนาวเหน็บ รัศมีความกดดันจากกระบี่ทั้งสี่เล่มเกือบจะเทียบเท่ากับขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภา มันสามารถคุกคามชีวิตของพวกเขาได้อย่างแท้จริง
“ ไม่นึกเลย…ว่าเทพกระบี่จะสร้างมันได้สำเร็จจริงๆ ด้วยค่ายกลนี้ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับขอบเขตเซียนนภาก็ไม่กลัว ” เจ้าสำนักหานซานที่นิ่งเงียบมาตลอดพูดขึ้นด้วยความชื่นชม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน