ในระหว่างการเดินทางไปสำนักคุนหลุนด้วยรถม้าที่ยึดมาจากศัตรู จ้าวเทียนก็สอบถามเรื่องราวต่างๆของสำนักคุนหลุนจากเจียงลี่ ซึ่งเธอก็ได้เล่าให้เขาฟังอย่างละเอียด
ทั้งเรื่องสถานการณ์ปัจจุบัน ขนาดของกองกำลัง หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์สำคัญที่เกิดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ทำให้จ้าวเทียนรู้เลยว่า อีกฝ่ายกำลังหวังให้เขายื่นมือเข้าช่วยเหลือในการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง ตามคำพูดของชายชราฝ่ายศัตรูที่ฆ่าตัวตายไป
ในตอนนี้สำนักคุนหลุนนั้นกำลังตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ข้อแรกคือเจ้าสำนักได้หายสาบสูญไปถึงแปดปี ส่วนข้อที่สองตอนนี้ในสำนักคุณหลุนได้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันเอง
เรื่องเกิดมาจากรองเจ้าสำนัก ไม่ยอมให้มีการแต่งตั้งเจ้าสำนักคนใหม่ ทั้งยังประกาศให้เก็บตัวจากโลกภายนอกนานถึงแปดปี ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่พอใจ
ในตอนแรกที่ทุกคนยังทำตามคำสั่ง ก็เพราะเบื้องหลังของรองเจ้าสำนักยังมีผู้อาวุโสสูงสุด ซึ่งเป็นเซียนขั้นสูงสุดอยู่ แต่ทว่าเมื่อปีก่อน ผู้อาวุโสท่านนั้นก็ได้สิ้นอายุขัยไปแล้ว
เดิมทีสำนักคุนหลุนมีเซียนขั้นสูงสุดอยู่สองคน ก็คือเจ้าสำนักเหยียนซืออู่ และผู้อาวุโสสูงสุดเหยียนโส่ว เมื่อขาดทั้งสองคนไป ทำให้ตระกูลเหยียนไม่สามารถควบคุมอำนาจไว้ได้อีก
เนื่องจากตระกูลเปียน ซึ่งเป็นตระกูลอันดับสองในสำนักคุนหลุน มีเซียนขั้นสูงและเซียนขั้นกลางมากกว่าตระกูลเหยียน พวกเขาจึงใช้อำนาจเข้ากดดันทุกวิถีทางเพื่อช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก
“ เธอกำลังสงสัยว่า…คนทรยศที่ขายข้อมูลของพวกเธอให้กับฝ่ายตรงข้าม เป็นคนจากตระกูลเปียนเหรอ ” จ้าวเทียนถามขึ้น
“ ใช่แล้วค่ะ…มีแต่พวกเขาเท่านั้น ที่เป็นศัตรูกับตระกูลเหยียน และมีแรงจูงใจมากพอ ” เจียงลี่ตอบด้วยความมั่นใจ
จ้าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ จากนั้นเขาก็อธิบายให้อีกฝ่ายฟัง
“ จากที่เธอบอกมา…ตอนนี้ตระกูลเปียนได้กุมอำนาจส่วนใหญ่เอาไว้แล้ว รออีกไม่นานก็จะสามารถบรรลุจุดประสงค์ได้แน่นอน พวกเขาไม่มีเหตุผลที่ต้องทำอะไรเสี่ยงๆแบบนี้ ”
“ การทรยศพวกเดียวกันเอง แล้วขายข้อมูลให้กับศัตรูนั้น หากถูกเปิดเผยออกไป นอกจากจะเสื่อมเสียชื่อเสียงแล้ว ยังจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนอีกด้วย ”
“ อีกอย่างหนึ่ง…เธอเองก็ได้ยินที่พวกศัตรูบอกใช่ไหม เป้าหมายของพวกเขาก็คือการลบสำนักคุนหลุนออกไป และไม่ปล่อยให้มีคนรอดชีวิต ”
“ ซึ่งบทสรุปแบบนี้…ตระกูลเปียนไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด ”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จ้าวเทียนพูดมา เจียงลี่ก็ก้มหน้าลงด้วยความอับอาย เธอใช้อารมณ์ส่วนตัวมากเกินไป จึงไม่ได้คิดวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน
“ ฉันถามอะไรหน่อย…เด็กสองคนนี้เป็นใครเหรอ ทำไมอีกฝ่ายถึงต้องลงทุนไปลักพาตัวมาด้วย ” จ้าวเทียนถามด้วยความแปลกใจ
เพราะจากที่ได้ยินมา เหมือนว่าพวกสำนักซงซานต้องการใช้ประโยชน์จากเด็กสองคนนี้ในการจัดการสำนักคุนหลุน
“ เรื่องนี้…ฉันบอกไม่ได้ แต่หากพวกเราไปถึงสำนักคุนหลุนแล้ว ผู้อาวุโสก็จะรู้ได้เอง ” เจียงลี่พูดออกมาด้วยท่าทีขอโทษ ในอดีตเธอได้ให้คำสัตย์ไว้แล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป
จ้าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้น ก็ไม่ได้ถามเอาคำตอบอีก เขาเปลี่ยนมาสนใจเด็กทั้งสองคนแทน ซึ่งเด็กทั้งคู่ก็กำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาที่เป็นประกาย
‘ สองคนนี้…คู่แฝดงั้นเหรอ ’
เด็กชายหญิงทั้งสองคน มีหน้าตาที่เหมือนกันถึงแปดส่วน แตกต่างกันแค่ทรงผมและเพศเท่านั้น
ฝ่ายเด็กผู้ชายเมื่อเห็นว่าจ้าวเทียนมองมาทางเขา ก็เริ่มมีความกล้าขึ้นมา
“ คุณลุง…เป็นเซียนเหรอ ”
!!
ลุงเหรอ…
จ้าวเทียนรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ ตอนนี้เขาเพิ่งมีอายุยี่สิบปีเท่านั้น การถูกเรียกว่าลุงนี่มันเกินจะรับไหวจริงๆ
อันที่จริงจะโทษเด็กชายก็ไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ยอดฝีมือที่บรรลุขอบเขตเซียนในสำนักโบราณก็มักจะมีอายุเกินห้าสิบปีไปแล้ว มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดกรณีแบบจ้าวเทียนขึ้นมา
“ ใช่แล้ว…ฉันเป็นเซียนจริงๆ ” จ้าวเทียนพยายามตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่เด็กสองคนนี้ดูไม่เกรงกลัวเขาเลย ทั้งที่เห็นเขาตัดหัวพวกคนชุดดำไปต่อหน้าต่อตา
แม้แต่เจียงลี่เองก็รู้สึกกลัวจ้าวเทียนอยู่ลึกๆในใจ ต่อให้พยายามปกปิดไว้ไม่แสดงออก แต่แววตาหวาดระแวงของเธอ ไม่อาจปิดบังจ้าวเทียนได้
‘ เด็กสองคนนี้มีโครงสร้างร่างกายที่ดีมาก…ทั้งยังมีแววตาเฉลียวฉลาด ผิวพรรณขาวเนียนกระจ่างใส คงจะได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีด้วยโอสถล้ำค่า พวกเขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ’
‘ คาดว่าเมื่อเริ่มฝึกฝน ก็คงก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกไม่ถึงห้าปี ก็อาจจะสำเร็จเป็นปรมาจารย์ได้อย่างง่ายดาย ’
เมื่อลองเปรียบเทียบกับจ้าวเทียน ที่ต้องต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรทุกอย่างมาด้วยความสามารถของตัวเอง ก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูกขึ้นมา
“ คุณลุง…ทำยังไงกระบี่ถึงบินได้ล่ะ มันสุดยอดมากเลยนะ ” เด็กชายถามต่อด้วยแววตาเป็นกระกาย เขารู้สึกว่าจ้าวเทียนเท่มาก เขาปล่อยกระบี่บินออกไปทีเดียว ก็สังหารพวกคนไม่ดีจนหมด
“ เอ่อ…มันเป็นเคล็ดวิชาส่วนตัวของฉันเอง ” จ้าวเทียนตอบตามตรง ซึ่งเขาก็ไม่ได้รู้เลยว่า คำตอบนี้มันได้ไปกระตุ้นความสนใจของอีกฝ่ายมากกว่าเดิม
“ คุณลุง…ช่วยสอนผมหน่อยได้ไหม ผมอยากเก่งเหมือนคุณลุงบ้าง จะได้จัดการพวกคนไม่ดีได้ ” เด็กชายพูดขึ้นด้วยแววตาคาดหวัง เขาลุกขึ้นมาพยายามคุกเข่าลงตรงหน้าจ้าวเทียน เหมือนต้องการฝากตัวเป็นศิษย์
“ หนูด้วย…สอนหนูด้วยนะคะ หนูก็อยากใช้กระบี่บินจัดการพวกคนไม่ดีเหมือนกัน ” เด็กหญิงที่เห็นแบบนั้น ก็รีบทำตามทันที
อีกทั้งเธอยังใช้ความน่ารักของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ด้วยการทำหน้าออดอ้อนจ้าวเทียนอย่างเต็มที่
ด้วยความที่พื้นที่ภายในรถม้าคับแคบมาก ต่อให้เด็กทั้งสองคนจะตัวเล็กขนาดไหน ก็ไม่สามารถคุกเข่าได้เต็มที่
สภาพที่เกิดขึ้นจึงคล้ายกับว่าเด็กทั้งสองนั่งกอดขาจ้าวเทียนคนละข้างแทน โดยมีส่วนคางของพวกเขา วางเกยอยู่บนเข่าของจ้าวเทียน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน