เวลาประมาณหกโมงครึ่ง สถานการณ์ในเมืองหยกเขียวกำลังอยู่ในภาวะตึงเครียด การเชื่อมต่อของเขตอาคมเคลื่อนย้ายทั้งหมดถูกตัดขาด ทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าออกเมืองในเวลานี้ได้
ประชาชนทุกคนต่างคาดเดากันไปต่างๆนาๆ ว่ามันอาจจะเป็นผลกระทบจากสงครามครั้งใหญ่เมื่อคืน ทุกคนได้แต่หวังว่าพวกตนจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
บนกำแพงซึ่งเป็นประตูด่านหน้าของเมืองหยกเขียว แม่ทัพเกราะเงินซึ่งดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่รักษาเมือง กำลังก้มหน้าอยู่ด้านหลังชายหนุ่มคนหนึ่ง พร้อมทั้งรายงานข้อมูลต่างๆด้วยความเคารพ
“ สายลับของพวกเราที่อยู่ในเมืองข้างๆ…ส่งสัตว์อสูรสื่อสารมาบอกว่า สมาพันธ์บู๊ลิ้มยกทัพออกมาตั้งแต่ชั่วโมงก่อน คงจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีนี้ ”
“ กองกำลังที่ติดตามมาด้วย ยังมีตัวแทนสภาผู้อาวุโสจากสี่สิบสำนักและสองในสี่ของแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์ฉินพร้อมทหารอีกสองหมื่น ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น แววตาของจ้าวเทียนก็เปลี่ยนไป…
‘ ถึงกับระดมสักขีพยานมามากขนาดนี้…ช่างรู้จักหาผลประโยชน์จริงๆ ’
ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามต้องการใช้ตัวเขาและสำนักคุนหลุนเป็นเครื่องเซ่นสังเวย ในการประกาศสงครามกับโลกภายนอก
ต้องไม่ลืมว่าสถานะของจ้าวเทียนเป็นถึงผู้นำระดับสูงของประเทศจีน ถ้าสมาพันธ์บู๊ลิ้มสามารถสังหารเขาต่อหน้าตัวแทนสำนักต่างๆได้ การประกาศสงครามของพวกเขาจะดูมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหลายส่วน
หากพวกเขาทำได้สำเร็จ หลายสำนักที่เป็นกลางหรือไม่เห็นด้วยกับการก่อสงคราม อาจจะเปลี่ยนไปเข้าร่วมกับพวกเขาก็ได้
วูป!
ร่างของเปียนเจียวเมิ่งปรากฏขึ้นข้างกายจ้าวเทียน แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ ฉันได้ประกาศถอนตัวไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว…แต่ดูท่าคงจะไม่มีผลมากนัก อีกฝ่ายไม่สนใจเหตุผลใดๆทั้งสิ้น ”
“ ไม่เป็นไรครับ…พวกเขาต้องการใช้สำนักคุนหลุนเป็นตัวประกันไม่ให้ผมหลบหนี หลังจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยแววตาเฉียบคม ขอเพียงเขาเป็นผู้ชนะ ก็ยังมีพื้นที่ให้ต่อรองได้
“ อีกเรื่องหนึ่ง…ตอนนี้ฉันส่งแม่ของเธอและพวกเด็กๆออกไปนอกเมืองแล้ว พวกเขาได้ปลอมตัวเป็นคนของสำนักคงท้ง ขอเพียงเธอดึงดูดความสนใจเอาไว้ได้ซักสามสิบนาที พวกสำนักคงท้งก็จะส่งคนมารับตัวพวกเขาไปเอง ” เปียนเจียวเมิ่งพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ตอนนี้รัศมีสิบกิโลเมตรรอบเมืองหยกเขียว เต็มไปด้วยสายลับของสมาพันธ์ หากฝืนทะลวงออกไปคงต้องเผชิญหน้ากับการตามล่าไม่จบไม่สิ้น
โดยเฉพาะเมื่อมีเด็กทั้งสองคนติดตามไปด้วย มันจะกลายเป็นจุดเด่นให้ฝ่ายตรงข้ามค้นหาได้ง่ายมาก มีทางเดียวคือการแอบออกไปโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเท่านั้นจึงจะปลอดภัยในระยะยาว
ยังมีอีกเรื่องที่เปียนเจียวเมิ่งไม่ได้บอกจ้าวเทียน นั่นคือเธอได้สร้างตัวตนปลอมของเหยียนซือหนิงและเด็กทั้งสองคนเอาไว้ในสำนักคุนหลุน หากแผนการครั้งนี้ล้มเหลว ตัวปลอมทั้งสามคนจะตายในกองเพลิงทันที
จากนั้นเธอก็จะปล่อยข่าวออกไป ว่าแม่ของจ้าวเทียนและเด็กทั้งสองคนตายไปแล้ว เพื่อให้พวกเขาไม่ตกเป็นเป้าหมายของสมาพันธ์บู๊ลิ้มอีกต่อไป
“ ขอบคุณมากครับ…หลังจากเรื่องทุกอย่างจบลง ท่านยายสามารถไปพบผมได้ที่เมืองเหล็กดำนะครับ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เขารู้สึกดีจริงๆกับความช่วยเหลือทุกอย่างของสำนักคุนหลุน ทั้งที่เรื่องราวร้ายๆทั้งหมดมีตัวเขาเป็นต้นเหตุแท้ๆ แต่ทุกคนในสำนักคุนหลุนกลับลงมือช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ
แม้กระทั่งต้องกลายเป็นศัตรูกับสมาพันธ์บู๊ลิ้ม พวกเขาก็ไม่เคยทอดทิ้งจ้าวเทียน
‘ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…ฉันจะต้องปกป้องทุกคนเอาไว้ให้ได้ ’
ห่างออกไปประมาณสามสิบกิโลเมตร
ผู้ฝึกตนจำนวนหลายพันคนและกองทัพทหารสองหมื่นนายได้เคลื่อนทัพไปด้านหน้าด้วยความรวดเร็ว เมื่อพวกเขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็จะเห็นเซียนนับร้อยที่เป็นตัวแทนจากสำนักต่างๆ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนตลอดร้อยปีที่ผ่านมา
ตลอดเวลาสองชั่วโมงที่ผ่านมา ทางสมาพันธ์ได้ออกคำสั่งเรียกระดมพลครั้งแรกในรอบร้อยปี นอกจากสำนักเร้นลับทั้งสองแล้ว สำนักอื่นๆล้วนส่งคนออกมาทั้งสิ้น
แม้กระทั่งวัดเส้าหลินและพรรคกระยาจกที่ประกาศเก็บตัวอยู่ ก็ยังส่งผู้อาวุโสมาร่วมด้วย
“ นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น…ฉันยังไม่เคยเจอเซียนเยอะขนาดนี้มาก่อน ” ชายชราคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความกังวล เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ทิศประจิมแห่งแคว้นต้าฉิน ซึ่งประจำการอยู่เมืองข้างๆ
“ นายไม่รู้ก็ไม่แปลก…เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงก่อน สมาพันธ์บู๊ลิ้มได้ค้นพบตัวผู้ถูกประกาศิตล่าสังหารในแคว้นต้าฉินของพวกเรา ราชสำนักเลยมีคำสั่งลงมาให้กองทัพเข้าควบคุมสถานการณ์เอาไว้ ” ชายชราอีกคนตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ทิศอุดรได้รับราชโองการให้มาดูแลเรื่องราวในครั้งนี้
“ เดี๋ยวนะ…ถ้าฉันจำไม่ผิดศัตรูมีแค่สองคนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องเคลื่อนไหวอย่างใหญ่โตขนาดนี้ ”
“ นายลองดูที่บนท้องฟ้าสิ…เซียนสามคนที่บินนำอยู่ด้านหน้านั่น ถ้าฉันจำไม่ผิดพวกเขาก็คือห้ายอดฝีมือแห่งยุคคนปัจจุบัน ”
“ ส่วนเซียนเกือบสามสิบที่ตามอยู่ด้านหลัง ถึงแม้ฉันจะไม่รู้จักพวกเขา แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ปล่อยออกมาโดยไม่ตั้งใจ มันเป็นแบบเดียวกันกับเซียนระดับเจ้าสำนักที่ฉันเคยเจอไม่มีผิด ”
“ ด้วยกองกำลังขนาดนี้…พวกเขาสามารถกวาดล้างแคว้นใหญ่ทั้งห้าได้สบาย อย่าไปพูดถึงการมาจัดการกับศัตรูแค่สองคนเลย ” แม่ทัพทิศประจิมพูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
“ เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้อะไรมาก…แต่ดูเหมือนจะมีข่าวหลุดออกมา ว่าสำนักคุนหลุนและเมืองหยกเขียวเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกับศัตรู นี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกเราต้องมาจัดการด้วยตัวเอง ”
“ ส่วนสาเหตุที่พวกเขาต้องใช้กองกำลังขนาดนี้…นายยังดูไม่ออกอีกเหรอ ฉันบอกได้เลยว่าศัตรูในครั้งนี้ไม่ใช่คนธรรมดาหรอกนะ ความแข็งแกร่งของเขาอาจจะเหนือกว่าห้ายอดฝีมือแห่งยุคไปแล้ว ”
“ เรื่องนี้…มันจะเป็นไปได้เหรอ ห้ายอดฝีมือแห่งยุคเปรียบเสมือนพระเจ้าในโลกใบนี้ ฉันนึกภาพคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาไม่ออกเลย ” แม่ทัพประจิมพูดเสียงเบา แต่ภายในใจของเขาก็เชื่อสิ่งที่แม่ทัพอุดรบอกมาไปแล้วแปดส่วน
‘ ดูเหมือนชายคนนั้นจะชื่อจ้าวเทียนสินะ…อยากรู้จริงๆว่าเขาจะแข็งแกร่งซักแค่ไหน ’
ผ่านไปไม่นาน
กองกำลังทั้งหมดก็เข้าสู่อาณาเขตสิบกิโลเมตรรอบเมืองหยกเขียว ซึ่งแม่ทัพทั้งสองก็รีบสั่งให้ทหารหยุดทันที จากนั้นก็ตั้งขบวนทัพป้องกันอยู่รอบนอก
ภารกิจของพวกเขามีเพียงควบคุมสถานการณ์เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการต่อสู้
!!
“ หืม…นั่นมัน” แม่ทัพประจิมพูดขึ้นด้วยความตกใจ สายตาของเขามองขึ้นไปบนฟ้า
ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเหยียบอากาศลงมา เผชิญหน้ากับสามยอดฝีมือแห่งยุคและกองกำลังเซียนนับร้อย
จากนั้นกระบี่สีทองเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือเขา…
“ รับกระบี่! ” จ้าวเทียนตวาดออกมาด้วยเสียงดัง
วิ้งงง!
กระบี่ราชันสวรรค์เปล่งแสงสีขาวออกมา เนื่องจากมันได้ประสานกับเจตน์แห่งกระบี่ของจ้าวเทียน
จากนั้น
จ้าวเทียนก็ฟันกระบี่ออกไปด้านหน้า ด้วยความเร็วที่ไม่มีใครมองเห็นได้ทัน เขาได้ใช้พลังเกินขีดจำกัดของตัวเอง ระเบิดกระบวนท่าสังหารออกไป
“ กระบี่สรรพสิ่งเพลิงสุริยัน! ”
ฉัวะ!
รังสีกระบี่ที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงสีทองยาวเกือบพันเมตร ฟาดฟันเข้าใส่เซียนนับร้อยที่บินอยู่บนฟ้า
ด้วยพลังขอบเขตเซียนขั้นสูงสุด และอานุภาพของเคล็ดวิชากระบี่สรรพสิ่ง เพียงพริบตาเดียวกรังสีกระบี่ขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าสามยอดฝีมือแห่งยุค
“ บัดซบ! มันจะรวดเร็วขนาดนี้ได้ยังไง ” นักพรตฮวยเหล็งตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก ตำแหน่งของเขาอยู่หน้าทุกคน จึงตกเป็นเป้าหมายแรกของรังสีกระบี่
‘ ระยะห่างเกือบร้อยเมตร…เพียงเสี้ยววินาทีก็มาถึงตัว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ’
เขาเองก็นึกไม่ถึง ว่าอีกฝ่ายจะลงมือทันทีที่พบหน้า จึงทำได้เพียงยกอาวุธขึ้นมาป้องกันเท่านั้น
เปรี้ยง! ตูมมมมมมม!
มองเห็นคลื่นเปลวไฟสีทองระเบิดออกรอบข้าง เข้ากลืนกินสามยอดฝีมือแห่งยุคและกองกำลังเซียนทั้งหมด พวกเขาเองก็ไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน
ปกติก่อนเริ่มสงคราม ทั้งสองฝ่ายจะต้องโต้ตอบกันด้วยวาจาก่อนไม่ใช่เหรอ…
ครืนนน!
แม้จะมีสามยอดฝีมือแห่งยุคต้านทานไว้ให้ แต่การโจมตีของจ้าวเทียนนั้นส่งผลเป็นวงกว้าง เขาไม่ได้เน้นการโจมตีไปที่จุดเดียว
ทำให้รังสีกระบี่ที่ปะทะกับเจ้าสำนักใหญ่ทั้งสาม ผ่านไปครู่เดียวก็สลายตัวไปทันที แต่ด้วยคลื่นพลังที่ยาวเกือบพันเมตร คมกระบี่ส่วนอื่นก็ฟาดฟันเข้าใส่เซียนนับร้อยที่อยู่ด้านหลังด้วย
ลองนึกภาพฝูงมดนับร้อยเดินขบวนอยู่บนพื้น แต่จู่ๆก็มีเด็กซนคนหนึ่งเอาน้ำในถังสาดเข้าใส่ สภาพมันก็จะไม่แตกต่างจากที่ปรากฏขึ้นตอนนี้นัก
นอกจากมดตัวใหญ่สามตัวที่ต้านทานไหว มดตัวเล็กก็ได้ถูกกวาดไปจนหมด
ตูมมมมม!
อ้ากกกกกกก!
เฮือกกกกก
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นถี่ยิบ เซียนนับร้อยถูกกระแทกร่วงลงมาบนพื้นเหมือนฝนดาวตก ร่างกายของพวกเขาลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟสีทอง
แม้ว่าจะไม่มีใครเสียชีวิต แต่ก็มีหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บหนักจนสู้ต่อไม่ได้ กระบี่นี้ของจ้าวเทียน มีเพียงเซียนขั้นสูงสุดขึ้นไปเท่านั้น จึงจะต้านทานได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ
บนท้องฟ้าตอนนี้ เหลือเพียงสามยอดฝีมือแห่งยุคเท่านั้นที่เผชิญหน้ากับจ้าวเทียนอยู่ ส่วนเซียนขั้นสูงสุดทั้งสิบคน แม้พวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ตัดสินใจยืนปักหลักอยู่ด้านล่าง
เมื่อมาถึงก็ต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ ใครมันจะไปตั้งตัวได้ทัน ขอเวลาให้พวกเขาได้ทำใจหน่อยก็แล้วกัน
“ พวกเรา…มาเจรจากันก่อนดีไหม ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย เขายกขวดเหล้าขึ้นจิบแบบเนียนๆ เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ชิ้งงง
ถ้าเปรียบสายตาดุดันของฝ่ายศัตรูเป็นคมมีด ร่างของจ้าวเทียนคงถูกแทงจนพรุนเป็นรังผึ้งไปแล้ว
‘ อืม…ดูเหมือนแผนดึงดูดความสนใจของฉันจะได้ผลดีเกินไปหน่อย ’
!!
ตอนนี้ได้เกิดบรรยากาศแปลกๆขึ้นในสนามรบ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่จ้าวเทียนอย่างโกรธแค้น โดยเฉพาะสามเจ้าสำนักใหญ่ ที่ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำด้วยความเดือดดาล
เจรจาบ้านปู่เอ็งสิ…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน