เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เปียนเจียวเมิ่งและแม่ทัพรักษาเมืองยิ้มอ่อนออกมา พวกเขารู้ดีว่าจ้าวเทียนต้องการถ่วงเวลา แต่ก็เริ่มรู้สึกสงสารศัตรูเล็กน้อย คนพวกนั้นเหมือนถูกตบหน้าแล้วสาดด้วยน้ำกรดไม่มีผิด
แม้แต่พวกทหารบนกำแพงเมืองที่กำลังส่งเสียงเชียร์จ้าวเทียน ยังอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ทุกคนต่างก็คาดคิดกันไปต่างๆนาๆ
หรือนี่จะเป็นกลศึกของโลกภายนอก ใช้กำลังก่อนแล้วค่อยเจรจากันทีหลัง มันช่างเป็นวิธีการที่เหนือความคาดหมายจริงๆ
ทางด้านสองแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นต้าฉิน พวกเขาปรึกษากันด้วยท่าทีจริงจัง สายตาที่พวกเขามองดูจ้าวเทียน เหมือนพบศัตรูตัวฉกาจ
“ ชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ…เขาสามารถช่วงชิงสภาวะผู้กำหนดทิศทางของสงครามได้ตั้งแต่เริ่ม ตอนนี้สมาพันธ์บู๊ลิ้มได้ตกเป็นรองแล้ว ”
“ ไม่ว่าสมาพันธ์บู๊ลิ้มจะเลือกเจรจาหรือไม่…แต่ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของพวกเขา ก็ได้ถูกกระบี่ของชายคนนั้นทำลายไปหมดแล้ว ” แม่ทัพใหญ่ทิศบูรพา พูดขึ้นด้วยท่าทีชื่นชม
“ เหอะ…นี่แหละคือจุดอ่อนของพวกสำนักเซียน พวกเขาคร่ำครึเกินไป ยกโขยงกันมาตั้งขนาดนี้โดยไม่เตรียมการป้องกันตัวเอง คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะทำตามธรรมเนียมเสมอไปงั้นเหรอ ”
“ หรือพวกเขาไม่เคยได้ยินสำนวนที่ว่า…การศึกสงครามไม่เคยหน่ายกลอุบาย หากเป็นฉัน ก็คงใช้วิธีการแบบชายคนนั้นเช่นกัน ขอเพียงยึดครองความได้เปรียบไว้ตั้งแต่แรก ย่อมมีโอกาสกำหนดผลแพ้ชนะได้ทันที ” แม่ทัพใหญ่ทิศประจิมพูดออกมาตามความคิดของตัวเอง
“ จริงด้วย…ท่านแม่ทัพพูดถูก ”
“ เซียนพวกนั้น…ก็มีดีแค่ขั้นฝึกตนที่สูงส่งเท่านั้นแหละ ”
พวกรองแม่ทัพและนายกองคนอื่นๆต่างก็ส่งเสียงสนับสนุนคำพูดของแม่ทัพทิศประจิม พวกเขานั้นเป็นทหารแกร่งที่ผ่านศึกสงครามมามากมาย
แม้แต่ตอนเข้านอนยังต้องกุมอาวุธเอาไว้ เพื่อให้ตนเองสามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้
เรื่องที่พุ่งเข้าไปหาศัตรูโดยประมาทนั้น เป็นการกระทำที่โง่มาก…
เสียงพูดคุยของพวกทหารจะว่าดังก็ไม่ดัง จะว่าเบาก็ไม่เชิง แต่ด้วยประสาทสัมผัสของเซียนทุกคน ทำให้พวกเขาสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
ทำให้ตอนนี้ใบหน้าของเซียนทุกคนแดงก่ำด้วยความอับอาย พวกเขาเพิ่งโดนลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ แต่กลับได้รับคำดูถูกเหยียดหยามจากพวกเดียวกัน
ความยุติธรรมมันอยู่ที่ไหน…
“ ท่านผู้นำสังหารมันเลย ”
“ ใช่แล้ว…พวกเราไม่ต้องเสียเวลาเจรจากับมันหรอก ”
ไม่รู้ใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เซียนทั้งหมดที่ยืนอยู่บนพื้น ต่างพากันร้องตะโกนขึ้นเสียงดังแล้วบินขึ้นไปบนฟ้า เผชิญหน้ากับจ้าวเทียนด้วยแววตากระหายเลือด
จ้าวเทียนที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา เขาแกล้งฟันกระบี่ออกไปด้านหน้าหนึ่งครั้งแบบไม่ได้ตั้งใจ
!!
“ ระวัง! ”
“ หลบเร็ว! ”
เซียนเกือบครึ่งที่วางท่าอวดดีเมื่อครู่ ต่างพากันถอนหนีด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะเซียนขั้นต่ำและเซียนขั้นกลาง พวกเขาเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา ยังคงจำฝังใจถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ
แต่ทว่า
มันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีทั้งรังสีกระบี่ขนาดยักษ์และเปลวเพลงสีทองที่พวกเขาหวาดกลัว
“ ฉันล่ะ…รู้สึกสิ้นหวังกับพวกแกจริงๆ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นอย่างเฉยชา เขาแค่ลองแกล้งอีกฝ่ายดูเท่านั้น ไม่คิดว่าจะกลัวกันขนาดนี้
‘ หากตัดพวกที่ใช้การไม่ได้ออกไป…พวกที่เหลืออีกสามสิบกว่าคนนี่เป็นของจริง เมื่อครู่นี้ตอนที่ฉันแกล้งฟันกระบี่ออกไป สายตาของพวกเขากลับค้นหาจุดอ่อนของฉันอย่างจริงจัง ’
‘ ขอเพียงฉันเปิดเผยช่องโหว่ออกมาเพียงเล็กน้อย…พวกเขาก็พร้อมระเบิดกระบวนท่าสังหารออกมาทันที ’
สิ่งที่จ้าวเทียนคิดนั้นถูกแล้ว เพราะเซียนทั้งสามสิบคนนี้เป็นถึงกองกำลังผู้คุมกฎและหน่วยล่าสังหาร ซึ่งถูกนักพรตฮวยเหล็งคัดเลือกมาจัดการกับจ้าวเทียนโดยเฉพาะ
หากพวกเขาลงมือพร้อมกัน…ต่อให้เป็นถึงระดับห้ายอดมือแห่งยุค ก็คงทำได้แค่หลบหนีเอาตัวรอดเท่านั้น
“ พวกที่ไม่เกี่ยวข้อง ถอยออกไปซะ! ”
นักพรตฮวยเหล็งพูดเสียงเย็นชา ทำให้ตัวแทนจากสำนักต่างๆพากันถอยออกไปนอกอาณาเขตต่อสู้ทันที
เมื่อต้องมาเจอกับจ้าวเทียน คนพวกนี้นอกจากจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ยังสร้างความอับอายให้พวกเดียวกันอีก ดูจากเสียงเยาะเย้ยที่ดังมาจากพวกทหารบนกำแพงเมืองได้
ตอนนี้สมาพันธ์บู๊ลิ้มก็ไม่ต่างไปจากตัวตลกดีๆนี่เอง
‘ จากความแข็งแกร่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมา…แค่คนที่ฉันเตรียมไว้ก็สามารถจัดการได้สบายมาก ’
‘ แต่ถ้าเขาคิดหลบหนีโดยไม่สู้ขึ้นมา…ด้วยเคล็ดวิชาที่เขาเคยใช้หลบหนีจากสำนักง้อไบ๊ โอกาสที่ฉันจะสังหารเขาได้คงจะลดน้อยลงไปหลายส่วน ’
เมื่อคิดได้แบบนี้ นักพรตฮวยเหล็งก็แอบสั่งการบางอย่างออกไปเป็นการลับ ทำให้เซียนบางส่วนที่ยืนอยู่รอบนอก แยกตัวกันออกไปสร้างเขตอาคมปิดผนึกทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน