ในอดีต หลังจากที่ผู้ก่อตั้งวัดเส้าหลินสิ้นอายุขัยไปแล้วสามพันปี วัดเส้าหลินก็เริ่มตกต่ำลง อาจเป็นเพราะปราณฟ้าดินของโลกที่เริ่มจางหายไป ทำให้เคล็ดวิชาหลายอย่างไม่สามารถฝึกฝนได้
ยิ่งเมื่อรวมกับเป้าหมายของวัดเส้าหลินเอง ที่มุ่งเน้นการศึกษาพระธรรมมากกว่าการต่อสู้ จึงขาดผู้เชี่ยวชาญที่จะทำการปรับปรุงหรือคิดค้นสิ่งใหม่ๆเพิ่มเติม
ทำให้ยอดวิชาหลายอย่างที่ผู้ก่อตั้งตกทอดไว้ให้ เริ่มสูญหายไปตามกาลเวลา หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ วัดเส้าหลินที่ตกทอดมายาวนานอาจจะต้องล่มสลายไปแน่นอน
แต่ในยามที่ทุกคนกำลังรู้สึกสิ้นหวัง สมณะชราตั๊กม้อไต้ซือก็ปรากฏตัวขึ้น และได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นและเพลงกระบี่ตั๊กม้อ พร้อมทั้งช่วยปรับปรุงแก้ไขเคล็ดวิชาเจ็ดสิบสองอย่างที่ตกทอดมา
ด้วยอานุภาพของเคล็ดวิชาที่ท่านถ่ายทอดให้ มันได้ทำให้วัดเส้าหลินกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง
ถึงแม้จะไม่มีผู้ใดรู้ว่าท่านมาจากสถานที่แห่งใด แต่ตลอดสี่พันปีที่ผ่านมาชื่อเสียงของปรมาจารย์ตั๊กม้อก็ถูกยกขึ้นเทียบเคียงกับผู้ก่อตั้งวัดเส้าหลินเลยทีเดียว
เคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นนั้นมีเจ็ดขั้น ทุกครั้งที่สำแดงเคล็ดวิชาจะปรากฏคลื่นพลังที่มีสีสันแตกต่างกันปกคลุมร่าง โดยในขั้นที่เจ็ดจะปลดปล่อยคลื่นพลังสีดำออกมา
ตลอดระยะเวลาสี่พันปีที่ผ่านมา มีผู้ฝึกฝนถึงขั้นสีดำไม่เกินสิบคน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆแห่งยุค
ทำให้ทุกคนในยุทธภพต่างยกย่องเชิดชูให้เคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น เป็นเคล็ดวิชาอันดับหนึ่งมาตลอดสี่พันปี
แต่ทว่า
น้อยคนนักจะรู้ แท้จริงแล้ววิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นสีดำไม่ใช่ขั้นสูงสุด แต่คือพลังขั้นสีขาวที่เป็นขอบเขตแห่งนิพพาน นับตั้งแต่อดีตกาลมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สำเร็จถึงขั้นนี้ ก็คือปรมาจารย์ตั๊กม้อ
ด้วยเป็นขอบเขตแห่งนิพพาน ทำให้เคล็ดวิชาทุกอย่างไร้ผล ตราบใดที่คู่ต่อสู้ไม่ได้มีขอบเขตพลังเหนือไปหลายเท่า หรือใช้เคล็ดวิชาที่อยู่เหนือขีดจำกัดของโลก ย่อมไม่อาจทำอะไรผู้ฝึกถึงขั้นสีขาวได้
จ้าวเทียนมองคลื่นพลังสีขาวที่ปกคลุมร่างของหลวงจีนคิ้วขาวด้วยแววตาเคร่งเครียด แม้ว่าจะใช้เคล็ดวิชากระบี่บูรพาสังหารไปแล้ว แต่กลับมองไม่เห็นจุดอ่อนหรือช่องโหว่แม้แต่น้อย
‘ นี่คงจะเป็นพลังของขอบเขตนิพพาน ในโลกทิพย์แห่งพุทธะ เคล็ดวิชาธรรมดาย่อมไม่อาจทำอะไรได้ ทั้งเปลวเพลิงสุริยันและกระบี่บินของฉันคงจะไม่มีผล ’
ทันใดนั้น
แววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเฉียบคม หลังจากผสานเจตน์แห่งกระบี่ลงไปในอาวุธแล้ว ร่างของเขาก็เคลื่อนไหวเข้าประชิดตัวฝ่ายตรงข้ามในพริบตา
‘ คงมีแต่ต้องใช้พลังในขอบเขตที่เท่าเทียมกันเท่านั้น…ฉันจะใช้ขอบเขตเจตน์แห่งกระบี่ทำลายมันให้สิ้นซาก ’
“ เก้ากระบี่เดียวดาย เคล็ดรวม! ”
จ้าวเทียนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลวงจีนคิ้วขาวอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นเงาร่างของเขาก็แยกออกเป็นเก้าร่าง แล้วแทงกระบี่ออกไปพร้อมกัน
นี่คือเคล็ดที่เก้าของวิชาเก้ากระบี่เดียวดาย ที่รวมทั้งแปดเคล็ดแรกไว้ด้วยกัน แม้มันจะสิ้นเปลืองพลังไปมาก
แต่เนื่องจากหลวงจีนคิ้วขาวนั้นไม่ได้ใช้อาวุธ อีกทั้งยังไม่ใช้เพลงหมัดหรือฝ่ามือ ทำให้แปดเคล็ดแรกใช้ไม่ได้ผล
เปรี้ยง!ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เงากระบี่ดุจพายุโหมกระหน่ำ รังสีกระบี่อันเกรี้ยวกราดดุดันนับร้อย ทะลวงเข้าใส่หลวงจีนคิ้วขาวจากทุกทิศทาง
แม้แต่เทพกระบี่ที่ดูอยู่ยังต้องพยักหน้าด้วยความชื่นชม อานุภาพของกระบวนท่านี้รุนแรงถึงขีดสุดอย่างแท้จริง นี่แสดงให้เห็นว่าจ้าวเทียนได้บรรลุวิชาเก้ากระบี่เดียวดายเทียบเท่ากับตัวเขาเองซึ่งเป็นผู้คิดค้นแล้ว
“ อามิตตาพุทธ ” หลวงจีนคิ้วขาวเปล่งเสียงออกมาเบาๆ แววตาของท่านยังคงนิ่งสงบ ไม่ได้เกรงกลัวต่อรังสีกระบี่นับร้อยที่ทะลวงเข้าใส่แม้แต่น้อย
“ระฆังทองคุ้มกาย! ”
แก้งงง!ๆๆๆๆๆ
เงาร่างของระฆังสีทองขนาดยักษ์ ได้ขวางกั้นรังสีกระบี่ทั้งหมดเอาไว้ เกิดเป็นเสียงดังสะท้านอย่างถี่รัว
แต่ทว่ามันก็ไม่อาจต้านทานได้นาน รังสีกระบี่กว่าครึ่งกำลังจะทะลวงเข้ามาได้สำเร็จ และในขณะที่ระฆังยักษ์สีทองกำลังจะหายไป
ครืนนนน!
คลื่นพลังของวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นสีขาวก็ระเบิดออกมา ทำให้รังสีกระบี่ที่เหลือเหมือนกับหยดน้ำที่จมหายไปในมหาสมุทร ไม่อาจทำลายระฆังสีทองได้แม้แต่น้อย
แวบบ!
เพียงเสี้ยววินาที ระฆังยักษ์สีทองก็ได้ฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง เท่ากับว่าการโจมตีครั้งแรกของจ้าวเทียนไร้ผลโดยสิ้นเชิง
เฮ้อ…
เทพกระบี่ที่เห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เก้ากระบี่เดียวดายเป็นเคล็ดวิชาประจำตัวของเขา ทั้งจ้าวเทียนและตัวเขาต่างก็อยู่ในขอบเขตเจตน์แห่งกระบี่ทั้งคู่
หากจ้าวเทียนยังทำไม่สำเร็จ ตัวเขาเองก็คงไม่ต่างกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน