“ วิกฤตครั้งใหญ่ที่ประสกพูดถึง…คือมารร้ายนอกพิภพตามคำพยากรณ์ใช่หรือไม่ ”
ประโยคนี้ของหลวงจีนคิ้วขาว ทำให้จ้าวเทียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขารีบถามขึ้นอย่างร้อนรน
“ ผู้อาวุโสรู้เรื่องนี้มากจากไหนงั้นเหรอ…ช่วยเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม ”
คำทำนายของท่านอาจารย์ บอกเพียงว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่ทำให้โลกหายไปเท่านั้น แต่ไม่ได้บอกถึงสาเหตุและใครเป็นเป็นผู้ลงมือ
การที่หลวงจีนคิ้วขาวพูดประโยคนี้ออกมา แสดงว่าท่านต้องมีข้อมูลที่พวกจ้าวเทียนไม่รู้แน่นอน เรื่องนี้อาจจะเป็นประโยชน์ต่อแผนการในอนาคตของจ้าวเทียนก็ได้
“ หืม…ที่ประสกจ้าวพูดมา ไม่ได้หมายถึงเรื่องคำพยากรณ์เหรอ ” หลวงจีนคิ้วขาวพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่หลังจากที่ลองสังเกตท่าทีของจ้าวเทียนดู ท่านก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้จริงๆ
“ เอาล่ะ…ในเมื่อเป็นแบบนี้ อาตมาก็จะขอเล่าให้ประสกฟังเอง ” หลวงจีนคิ้วพยักอย่างเข้าใจ ท่านยกแก้วช้าขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วพูดต่อ
“ เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน…ในสมัยที่สวรรค์และโลกมนุษย์ยังเชื่อมต่อกัน ต้อนนั้นเป็นยุครุ่งเรืองของผู้ฝึกตนทุกคนบนโลกมนุษย์ เนื่องมาจากนิกายอันดับหนึ่งบนโลกมนุษย์ได้ให้กำเนิดผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดขึ้นมา จนแม้แต่ทวยเทพบนสวรรค์ยังต้องยอมก้มหัวให้ ”
“ แต่น่าเสียดาย ที่วันเวลาเหล่านั้นคงอยู่ไม่ถึงร้อยปี…หลังจากผู้แข็งแกร่งคนนั้นหายสาบสูญไป ท้องฟ้าเบื้องบนก็พังทลายลงมา ทางเชื่อมแดนสวรรค์ถูกตัดขาด นิกายอันดับหนึ่งในตอนนั้น ได้ถูกกองกำลังปริศนากวาดล้างภายในวันเดียว ”
“ แต่ทว่าก่อนที่พวกเขาจะถูกทำลายไปนั้น…ได้ซ่อนของสำคัญชิ้นหนึ่งเอาไว้ โดยมอบหน้าที่ปกปักรักษาของชิ้นนี้ ให้กับผู้อาวุโสระดับสูงที่ไว้ใจได้ เพื่อว่าซักวันหนึ่งจะสามารถฟื้นฟูนิกายกลับมาได้อีกครั้ง ”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ คิ้วของจ้าวเทียนก็กระตุกเล็กน้อย ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
“ ผู้อาวุโส…นิกายอันดับหนึ่งในยุคนั้นมีชื่อว่าอะไรงั้นเหรอ ”
“ ถ้าอาตมาจำไม่ผิด…รู้สึกจะมีชื่อว่านิกายจูเซียนนะ ประสกเคยได้ยินมาก่อนหรือเปล่า ” หลวงจีนคิ้วขาวถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เขาสัมผัสได้ว่าจ้าวเทียนดูจะสนใจชื่อนิกายจูเซียนเป็นพิเศษ
“ ไม่มีอะไรหรอก…ฉันเพียงแค่รู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้เท่านั้น ขอเชิญผู้อาวุโสเล่าต่อได้เลย ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย พยามไม่แสดงอาการออกมา
สถานการณ์ของนิกายจูเซียนอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงเกินไป เขาไม่อาจไว้ใจคนที่เพิ่งเคยพบหน้าได้ ไม่อย่างนั้นความหายนะ อาจจะมาเยือนโลกมนุษย์อีกครั้ง
“ ตกลง…อาตมาจะเล่าต่อก็แล้วกัน หลังจากนิกายจูเซียนล่มสลายไปสามพันปี ได้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งค้นพบแผ่นหินครึ่งซีก ที่จารึกอักขระโบราณเอาไว้ มันมีพลังกฎเกณฑ์ของจักรวาลแฝงอยู่มหาศาล ”
“ เพียงแค่นั่งอยู่ด้านหน้าแผ่นหินนั้นซักหลายวัน…ก็สามารถทำความเข้าใจเคล็ดวิชาระดับสูงได้อย่างง่ายดาย ถึงกับมีบางคนใช้โอกาสนั้นคิดค้นเคล็ดวิชาใหม่ๆออกมาได้ด้วยซ้ำ ”
“ เพราะคุณค่าของแผ่นหิน…ทำให้ผู้ที่ค้นพบมัน กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้น เขาได้อาศัยพลังที่ซ่อนอยู่ในแผ่นหินและพรสวรรค์อันสูงส่ง คิดค้นเคล็ดวิชาต่างๆออกมามากมาย ”
“ จนกระทั่งผ่านไปไม่นาน…ผู้อาวุโสท่านนั้นก็ได้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งยุค และกลายเป็นผู้นำของชาวยุทธทุกคน แต่หลังจากขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ไม่กี่ปี ผู้อาวุโสท่านนั้นก็เกิดเบื่อหน่ายชีวิตที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดีขึ้นมา”
“ จึงได้ประกาศละซึ่งทางโลก…ออกบวชฝากตัวเป็นศิษย์แห่งพุทธองค์ แล้วก่อตั้งวัดเส้าหลินขึ้น แน่นอนว่าแผ่นหินอันนั้น ก็ได้กลายสิ่งศักดิ์สิทธ์ของวัดเส้าหลินนับแต่นั้นเป็นต้นมา ”
ตอนนี้จ้าวเทียนเริ่มรู้สึกสับสน เขายังไม่เห็นว่า เรื่องที่หลวงจีนคิ้วขาวเล่ามาจะเกี่ยวข้องกับคำพยากรณ์ตรงไหนเลย
หลวงจีนคิ้วข้าวเห็นสีหน้าของจ้าวเทียน ก็เหมือนจะคาดเดาความคิดอีกฝ่ายได้ เขาจึงพูดต่อ
“ ประสกคงรู้แล้วใช่ไหม…ว่าสำนักโบราณทั้งหมด ได้ย้ายเข้ามาในโลกนี้เมื่อห้าร้อยปีก่อน เหตุผลที่เป็นแบบนั้น ก็เพราะมีบุรุษผู้หนึ่ง มาเยือนวัดเส้าหลินและได้ถอดความหมายของอักขระสามส่วน ที่จารึกอยู่บนแผ่นหินได้ ”
“ ซึ่งเนื้อหาบางส่วนที่จารึกอยู่บนแผ่นหินนั้นก็คือ คำพยากรณ์เกี่ยวกับการรุกรานโลกมนุษย์จากมารร้ายนอกพิภพยุคบรรพกาล และมหาสมบัติขั้นก่อกำเนิดจักรวาล ”
“ แท้จริงแล้วแผ่นหินครึ่งซีก…ก็คือสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งสูงสุดของนิกายจูเซียนทิ้งเอาไว้ก่อนจะหายตัวไป ส่วนผู้ที่มาเยือนวัดเส้าหลินตอนนั้น ก็คือทายาทผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายจูเซียนที่เป็นผู้ปกป้องแผ่นหิน ”
“ เพราะการต่อสู้กับศัตรูในอดีต…ทำให้แผ่นหินได้แตกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกได้ถูกเก็บรักษาไว้โดยทายาทของเขาเอง อีกส่วนก็ได้สูญหายไป จนกระทั่งถูกผู้ก่อตั้งวัดเส้าหลินพบเจอในเวลาต่อมา ”
เพราะสิ่งที่ได้ยินมันน่าเหลือเชื่อจนเกินไป จนแม้แต่เทพกระบี่เองยังต้องถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ
“ ผู้อาวุโส…ทั้งเรื่องที่มาของแผ่นหิน และเรื่องนิกายจูเซียน ทั้งหมดนี้คุณมีหลักฐานยืนยันชัดเจนหรือเปล่า เรื่องสำคัญแบบนี้เราคงไม่อาจอาศัยเพียงแค่คำพูดอย่างเดียวได้ ”
“ ประสกจะสงสัยก็ไม่แปลก…ความลับนี้มีเพียงระดับสูงในสำนักใหญ่ทั้งห้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์รู้ แม้แต่อาตมาเองตอนที่ได้รู้เรื่องนี้จากท่านอาจารย์ครั้งแรก ก็รู้สึกไม่อยากเชื่อเช่นกัน ”
“ แต่อาตมาสามารถรับรองได้…ว่าทุกอย่างที่พูดไปนั้นเป็นความจริงแน่นอน หลักฐานก็คือโลกใบนี้ที่พวกเราได้อาศัยอยู่ ”
“ มันคือโลกภายใน ของผู้อาวุโสท่านนั้นจากนิกายจูเซียนยังไงล่ะ เมื่อห้าร้อยปีก่อนทายาทของเขาได้เป็นคนมาเชื้อเชิญพวกเราเข้าสู่โลกใบนี้เอง ”
!!
“ นี่มัน…หรือว่าตำนานนั้นเป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ ” เทพกระบี่พูดออกมาด้วยความตกใจ เขานึกไปถึงเรื่องตำนานของโลกใบนี้ที่เคยเล่าให้จ้าวเทียนฟัง
‘ กลับกลายเป็นว่า…เจ้าตำหนักเทวะ ถึงกับเป็นทายาทของนิกายจูเซียนเมื่อหมื่นปีก่อน ฉันไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมเขาถึงมีความแข็งแกร่งขนาดนั้น ’
“ ผู้อาวุโส…เรื่องแผ่นหินอันนั้น ฉันขอตรวจสอบดูหน่อยได้ไหม ฉันน่าจะถอดความอักขระส่วนที่เหลือได้ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยแววตาเป็นประกาย บางทีคำตอบทุกอย่างที่เขาอยากรู้อาจจะอยู่บนแผ่นหินก็ได้
ด้วยประสบการณ์นับแสนปีบนแดนสวรรค์ ไม่ว่าอักขระนั้นจะเก่าแก่ขนาดไหน ก็ไม่เกินความสามารถของเขาแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน