เช้าวันต่อมา หน้าประตูเมืองเหล็กดำ
ฉินกวงลี่ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองเหล็กดำและผู้อาวุโสระดับสูง ได้พากันออกมายืนรอรับขบวนเสด็จขององค์ชายใหญ่ เนื่องจากในครั้งนี้อีกฝ่ายมาในฐานะตัวแทนของราชวงศ์ จึงต้องทำตามระเบียบขั้นตอนของขุนนาง
‘ หวังว่า…คงจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นหรอกนะ ’
ฉินกวงลี่คิดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สายตาของเขาเหลือบมองไปยังบุตรชายของตนเอง ที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางองค์หญิงสองพระองค์
เมื่อวานนี้ เขาได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว แม้จะรู้สึกดีใจที่องค์หญิงแห่งแคว้นต้าหมิงชอบพอกับบุตรชาย แต่มันก็สร้างปัญหาให้กับตระกูลฉินเช่นกัน
ในการประชุมใหญ่เมื่อคืน จ้าวเทียนได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์หญิงจูม่านฉีให้ทุกคนได้รับรู้แล้ว รวมทั้งจุดประสงค์ที่องค์ชายใหญ่มาเป็นแขกที่เมืองเหล็กดำด้วย
เพราะเรื่องนี้เอง ทำให้ตระกูลฉินและองค์ชายใหญ่ไม่มีทางจะญาติดีกันได้อย่างแน่นอน ขอแค่อีกฝ่ายไม่พยายามก่อเรื่องก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว
!!
มาแล้ว..
ไกลออกไปสุดสายตา ผู้คนจำนวนมากเริ่มปรากฏขึ้น
นำมาด้วยกองทัพองครักษ์ทหารม้าเกือบสี่พันคนและทหารราบจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งหมดตั้งขบวนรูปสี่เหลี่ยมปกป้องรถม้าขนาดใหญ่สีทองเอาไว้ตรงกลาง
“ นี่มัน…ไม่เหมือนตามที่ได้รับรายงานมานี่ ” ฉินกวงลี่พูดขึ้นด้วยความกังวล ตามรายงานองค์ชายใหญ่จะมาพร้อมกับขบวนผู้คุ้มกันไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น
‘ แบบนี้ไม่ใช่ขบวนเสร็จแล้ว…มันคือกองทัพใหญ่ไว้บุกตีเมืองชัดๆ ’
เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทำให้สามารถตรวจสอบจำนวนได้คร่าวๆเกือบสองหมื่นเลยทีเดียว ดูจากชุดเครื่องแบบของทหารราบพวกนั้น คงจะเป็นทัพแกร่งจากชายแดน ที่ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วน
นอกจากจะมีจำนวนเหนือกว่ากองทัพของเมืองเหล็กดำเกือบสองเท่าแล้ว ทั้งคุณภาพและอาวุธยุทโธปกรณ์ยังเหนือกว่าทัพรักษาเมืองหลายเท่า
“ ใจเย็นๆครับ…อีกฝ่ายเพียงต้องการสร้างภาพให้พวกเราหวาดกลัวเท่านั้น ทหารพวกนี้คงจะหยิบยืมมาจากเมืองชายแดนรอบๆ องค์ชายใหญ่ไม่มีอำนาจสั่งการได้หรอก ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ
เมื่อได้ยินแบบนั้นสีหน้าของฉินกวงลี่และผู้อาวุโสรอบๆก็เริ่มผ่อนคลายลง การที่จ้าวเทียนยืนอยู่เคียงข้างพวกเขา มันช่วยลดความกดดันลงไปได้อย่างมาก
ตราบใดที่ชายคนนี้ยังอยู่ ตระกูลฉินย่อมไม่มีทางถูกสั่นคลอนได้…
“ ขนกันมามากมายขนาดนี้…ดูเหมือนเขาเองก็เริ่มรู้สึกร้อนรนแล้วสินะ ” คังหลินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ นั่นแน่นอนอยู่แล้ว…ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาสูญเสียกำลังพลไปเยอะ ทั้งการลอบสังหารฉันที่ล้มเหลวและยังมีเรื่องเมืองหยกเขียวอีก สถานะของเขาตอนนี้ไม่เหมือนก่อนอีกต่อไปแล้ว ” ฉินฟ่านเออร์อธิบายอย่างใจเย็น เหมือนกับเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเธอ
เมื่อวานนี้จ้าวเทียนได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับสำนักคุนหลุนให้เธอและคังหลินฟังแล้ว ทำให้คาดเดาได้ทันทีว่ากองทัพโจรนับหมื่นที่ถูกสังหารตายไป เป็นพวกคนที่องค์ชายใหญ่เลี้ยงเอาไว้
“ เสด็จพี่…พวกเราจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม ” องค์ชายน้อยถามขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเทา เขาเพิ่งมีอายุได้เพียงสิบปีเท่านั้น ภาพกองทัพนับหมื่นย่อมสร้างความหวาดกลัวให้เด็กวัยนี้ได้เป็นอย่างดี
“ น้องพี่…เธอต้องเข้มแข็งไว้ อย่างลืมความแค้นของเสด็จแม่และทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายคนนั้นทำไว้กับพวกเรา ครั้งนี้เป็นเพียงบททดสอบบทแรกเท่านั้น ”
“ หากต้องการเดินบนเส้นทางสายนี้…พวกเรามีแต่ต้องผ่านมันไปให้ได้เข้าใจไหม ” ฉินฟ่านเออร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธอบีบมือของน้องชายเอาไว้แน่น เป็นการให้กำลังใจ
“ ฉัน…ตกลง ฉันจะไม่กลัว พวกเราจะต้องแก้แค้นให้เสด็จแม่ ” องค์ชายน้อยแสดงท่าทีเข้มแข็งแบบเด็กๆออกมา แม้ตัวเขาจะสั่นสะท้านอยู่บ้าง แต่ก็จ้องมองกองทัพนับหมื่นโดยไม่หลบสายตา
ฉินฟ่านเออร์ที่เห็นแบบนั้น ก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ เธอดึงน้องชายขยับเข้ามาทางคังหลินอีกเล็กน้อย
เธอรู้สึกถึงความปลอดภัย เมื่ออยู่ใกล้กับชายคนนี้
“ ฉันคิดว่า…มันคงจะเป็นเรื่องดี ถ้าพวกเขาสลับเพศกันนะ เธอเหมาะจะเป็นฮ่องเต้มากกว่าน้องชายเสียอีก ” จูม่านฉีหันไปบ่นเบาๆกับคังหลิน ทำให้เขาต้องยิ้มอ่อนออกมา
ตั้งแต่ได้เปิดอกคุยกันเมื่อวาน มันก็ได้ทำให้ช่องว่างระหว่างพวกเขาลดลงไปมาก ทุกคนสามารถพูดคุยกันได้แบบไม่ต้องมีแผนการในใจ
แม้จะเห็นว่า จูม่านฉีชอบพูดจาขัดฉินฟ่านเออร์ แต่ใจจริงของเธอก็ยอมรับอีกฝ่ายเป็นสหายเช่นกัน ยิ่งได้รู้เรื่องที่ฉินฟ่านเออร์ต้องเผชิญมาตลอด เธอก็ตั้งใจแล้วว่าจะช่วยเหลืออีกฝ่ายเท่าที่ทำได้
ส่วนเรื่องปัญหาหัวใจของพวกเธอทั้งคู่นั้น คงไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ชิ้งง!
เหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สายตาของสาวงามทั้งสองคนได้ประสานกัน หนีบคังหลินเอาไว้ตรงกลาง
ตามธรรมเนียมของราชวงศ์นั้น ไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องที่พวกเธอจะแต่งงานกับชายคนเดียวกัน แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าใครจะเป็นที่หนึ่งมากกว่า ทำให้ตอนนี้พวกเธอต่างรุกเข้าใส่คังหลินหนักมาก
‘ ฉัน…ควรทำยังไงกับผู้หญิงสองคนนี้ดี ’
คังหลินรู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกหวั่นไหวเลยกับการที่มีสาวงามสองคนมีใจให้ ตอนที่อยู่บนแดนสวรรค์เขาก็เคยมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวมากมาย
แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ข้อแรกร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขา ข้อสองความแตกต่างของเขากับพวกเธอนั้นมากเกินไป หญิงสาวทั้งสองคนถือกำเนิดในโลกหมิงหลง พวกเธอไม่สามารถออกไปสู่โลกภายนอกได้
ในขณะที่ตัวคังหลินนั้นเป็นเทพบนแดนสวรรค์ โลกแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ของเขา หลังจากที่ช่วยเหลือศิษย์น้องเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็จะจากสถานที่แห่งนี้ไป
แม้คังหลินจะเป็นคุณชายเจ้าสำราญ แต่เขาก็มีความรับผิดชอบ หากสร้างหนี้รักกับผู้หญิงสองคนนี้ไว้ ในเวลาที่เขาต้องจากพวกเธอไปในใจคงรู้สึกผิดมาก
สำหรับเรื่องนี้ จ้าวเทียนเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือศิษย์พี่รองอย่างไรเช่นกัน เพราะตัวเขาเองก็ยังเอาตัวไม่รอดเลย
ตั้งแต่เมื่อวาน ไม่รู้ว่าแม่ของเขากับฮูหยินตระกูลฉินไปพูดคุยอะไรกัน ในคืนนั้นพี่สาวคนรองของคังหลินได้มาเป็นแขกร่วมรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวของเขาแบบไม่ทันตั้งตัว
‘โชคดีที่ฉันบอกแม่ไปว่า…มีหญิงสาวที่ชอบพออยู่แล้ว เธอจึงไม่กดดันอะไรมากนัก แต่ก็มีเงื่อนไขที่ต้องพาเธอมาให้แม่พบก่อน เพื่อดูว่าจะจริงใจกับฉันหรือเปล่า ’
‘ นี่เป็นเพราะตอนอยู่ที่สำนักคุนหลุน…ฉันได้เล่าเรื่องของซุยหลิงให้แม่ฟัง นั่นทำให้เธอรู้สึกเสียใจที่ลูกชายต้องเผชิญกับชะตากรรมแบบนั้น ’
‘ นี่คงเป็นเหตุผล…ที่แม่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องคู่ครองของฉันมาก ’
ในขณะที่จ้าวเทียนและคังหลินกำลังครุ่นคิดถึงปัญหาของตน ขบวนเสด็จขององค์ชายใหญ่ก็มาหยุดลงตรงหน้าประตูเมือง ห่างออกไปประมาณหนึ่งพันเมตร ตามกฎของกองทัพที่ทหารจะไม่สามารถเข้าอาณาเขตเมืองได้ หากไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาสงคราม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน