โดยปกติแล้ว การทำสงครามในโลกหมิงหลงจะแตกต่างจากโลกภายนอก เนื่องจากตัวตนของเหล่าเซียนและปรมาจารย์ไม่ได้ถูกปิดไว้เป็นความลับ
ดังนั้นเวลาวางแผนการรบต้องคำนึงถึงตัวตนอันไร้เทียมทานของคนเหล่านี้ด้วย ซึ่งแต่ละแคว้นล้วนมีกลศึกที่แตกต่างกัน เวลาเผชิญหน้ากับตัวตนอันไร้เทียมทานพวกนี้
สำหรับแคว้นฉินซึ่งโดดเด่นด้านการรบและจำนวนทหาร จะทำการแบ่งทหารออกเป็นกองกำลังย่อย แล้วสลับกับใช้การโจมตีระยะไกลกดดันศัตรูจนเหนื่อยล้าแล้วค่อยปิดบัญชีในคราวเดียว
แต่ทว่าครั้งนี้ วิธีของพวกเขากลับไร้ผลโดยสิ้นเชิง…
“แม่ทัพเผิง พวกเราจะต้านเอาไว้ไม่ไหวแล้ว ” นายกองหนึ่งพันคน หลบหนีกลับมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว เขาเพิ่งจะเห็นพี่น้องในหน่วยของตนทั้งหมดร่วงลงไปกองกับพื้น ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวของศัตรู
“ รีบออกคำสั่งให้ถอยเถอะครับ…ตอนนี้เราเสียทหารไปเกือบครึ่งแล้ว ต่อให้ฝืนรั้งไว้ก็คงถ่วงเวลาได้ไม่นาน ” รองแม่ทัพออกความเห็นด้วยท่าทีเคร่งเครียด
“ ถอยงั้นเหรอ…จะให้ฉันถอยไปที่ไหนล่ะ ห่างออกไปอีกสองกิโลเมตรก็เป็นกองบัญชาการแล้ว ถ้าพวกเราไม่หยุดศัตรูไว้ตรงนี้ อีกฝ่ายคงบุกไปจัดการพวกแม่ทัพใหญ่แน่นอน ” แม่ทัพเผิงกัดฟันพูดขึ้น
เขาเป็นแม่ทัพของกองกำลังที่เก้า มีหน้าที่ปกป้องกองบัญชาการ ต่อให้ต้องลงไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายด้วยตัวเอง ก็ไม่อาจปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามบุกเข้าไปได้
ในขณะนั้นเอง
ทหารกลุ่มหนึ่งก็ควบม้าเข้ามาหากองกำลังที่เก้า นำมาโดยแม่ทัพตาเดียวสวมชุดเกราะสีแดงเข้ม เขาก็คือแม่ทัพซีแห่งกองกำลังที่สิบ
“ แม่ทัพเผิง…ทางกองบัญชาการติดต่อกลับมาหรือยัง กองกำลังที่สิบของฉันจะต้านเอาไว้ไม่ไหวแล้วนะ ” แม่ทัพซีพูดขึ้นอย่างร้อนรน
เนื่องจากกองกำลังของเขาส่วนใหญ่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิด จึงประสบชะตากรรมอย่างน่าอนาถกว่าใคร
จากทหารสามหมื่นคนในตอนแรก…ปัจจุบันนี้เหลือเพียงห้าพันคนเท่านั้น
“ เรื่องนี้…ฉันส่งคนออกไปรายงานแล้ว แต่เบื้องบนยังไม่มีคำสั่งออกมาเลย ” แม่ทัพเผิงรู้สึกหนักใจมาก ที่จริงเขาได้เสนอให้ใช้ลูกธนูอุกกาบาตจัดการกับศัตรู แต่ไม่รู้ว่าแม่ทัพใหญ่จะอนุญาตหรือไม่
‘ ถือเป็นโชคดี…ที่ศัตรูไม่ได้คิดสังหารจนสิ้นซาก พวกทหารที่ร่วงลงไปบนพื้น ก็แค่หมดสติเท่านั้น ’
เรื่องนี้หน่วยสอดแนมเป็นคนรายงานมาเอง พวกเขาเข้าไปตรวจสอบสนามรบของกองกำลังที่สามและสี่ ก็พบว่าทหารทุกคนเพียงหมดสติไปเท่านั้น
ตอนนี้สายตาของแม่ทัพทั้งสอง ได้จ้องมองไปยังชายสวมหน้ากากคนหนึ่ง ที่กำลังเดินเข้ามาทางพวกเขาอย่างช้าๆ ท่ามกลางลูกธนูนับหมื่นที่โปรยปรายลงมาอย่างถี่รัว
ครืนนน!
ลูกธนูพวกนั้นได้ถูกม่านเพลิงสีทองจางๆเผาไหม้จนหมด ไม่มีแม้แต่ดอกเดียวที่จะทะลวงเข้าไปในอาณาเขตสิบเมตรรอบตัวของชายสวมหน้ากากได้
จากนั้น
ชายสวมหน้ากากก็ใช้นิ้วทั้งสองดุจกระบี่ ฟันออกไปยังทิศทางที่พวกมือธนูอยู่
วูป!
เกิดเป็นภาพลวงตากระบี่ขนาดยักษ์ยาวเกือบพันเมตรฟาดฟันออกไปทันที ทำให้ทหารทุกคนที่อยู่ในรัศมีกระเด็นขึ้นไปบนฟ้า เหมือนกับกองทัพมดที่ถูกไม้บรรทัดกวาดไม่มีผิด
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ภาพเหตุการณ์แบบนี้เกิดซ้ำขึ้นหลายหน ทหารที่ถูกการโจมตีนั้นไป ก็ไม่มีใครลุกขึ้นมาได้อีกเลย พวกเขาหมดสภาพการต่อสู้ไปในทันที
เพราะแบบนี้เอง พวกเขาจึงทำได้เพียงถ่วงเวลาและล่าถอยอย่างต่อเนื่องเท่านั้น เรื่องจะไปชนะอีกฝ่ายนั้น มันไม่มีความหวังตั้งแต่แรกแล้ว
“ นั่นมันคือเคล็ดวิชาอะไรกัน…ฉันสัมผัสพลังปราณของอีกฝ่ายไม่ได้เลย และก็ไม่ใช่พลังเซียนด้วย ” แม่ทัพซีพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัว
เขาเคยลองส่งปรมาจารย์ขั้นสูงสิบคนแฝงตัวเข้าไปใช้สนามพลังป้องกันดู แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง สนามพลังถูกภาพลวงตากระบี่ยักษ์ฟันขาดเหมือนเต้าหู้
ทั้งพวกปรมาจารย์และเหล่าทหารถูกกวาดออกไปในครั้งเดียว
“ เรื่องนี้…บางทีมันอาจจะเป็นขอบเขตในตำนานของวิถีกระบี่ ก่อนหน้านี้ฉันเคยตามแม่ทัพใหญ่ ไปชมดูการต่อสู้ของยอดฝีมือแห่งยุคที่เมืองหยกเขียว ”
“ พลังที่ชายสวมหน้ากากคนนี้ใช้ออกมา เหมือนกับของเทพกระบี่และราชันสัประยุทธ์จ้าวเทียนไม่มีผิด ” แม่ทัพเผิงพูดขึ้นด้วยแววตาเป็นประกาย ภาพการต่อสู้นั้นยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำไม่ลืมเลือน
“ราชันสัประยุทธ์จ้าวเทียน… ” แม่ทัพซีถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เขาไม่เคยได้ยินฉายานี้มาก่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน