ห่างออกไปจากสนามรบประมาณยี่สิบกิโลเมตร บนเนินเขาสูงที่ถูกปกปิดไปด้วยป่าไม้อันรกทึบ สถานที่แห่งนี้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเมืองเหล็กดำได้อย่างชัดเจน
แต่ผู้คนที่อยู่ด้านล่างไม่สามารถมองเห็นผู้ที่อยู่ด้านบนได้ เนื่องมาจากค่ายกลอำพรางระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้
“ ดูเหมือนไอ้เศษสวะที่สมควรตายนั่น จะทรยศจริงๆสินะ ” หญิงงามสูงศักดิ์ในชุดคลุมฉลองพระองค์สีทองหรูหรา พูดขึ้นด้วยท่าทีโกรธแค้น
เธอคนนี้ก็คือพระชายาหลักแห่งแคว้นต้าฉิน ซึ่งตอนนี้ได้สถาปนาตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ขึ้นปกครองแคว้นต้าฉินแทนองค์ฮ่องเต้ที่ทรงประชวรอยู่
“ กับผู้หญิงสารเลวแบบเธอ…ใครมันจะไปจงรักภักดีด้วยใจจริงล่ะ ” คังหลินมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีรังเกียจ แม้ผู้หญิงคนนี้จะมีหน้าตางดงาม แต่นิสัยกลับไม่ต่างไปจากนางงูพิษที่แว้งกัดคนอื่นไปทั่ว
บริเวณรอบๆตัวคังหลินตอนนี้ เต็มไปด้วยศพมากมายนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น คนพวกนี้เป็นหน่วยกล้าตายที่อีกฝ่ายเลี้ยงดูไว้คอยทำเรื่องสกปรกให้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องปราณี
“ บังอาจ!...เจ้าคนชั้นต่ำกล้าดียังไงใช้วาจาสามหาวแบบนี้ ” ขันทีชุดดำตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล เขาเป็นผู้นำขันทีของฝ่ายในทั้งหมด รวมไปถึงกองกำลังลับของวังหลวงด้วย
“ ใจเย็นๆสิว่านกงกง…สำหรับคนใกล้ตายอย่างพวกมัน ต่อให้พูดอะไรไปฉันก็ไม่ถือหรอก ” พระชายาหลักพูดออกมาอย่างเฉยชา แม้เธอจะรู้สึกแค้นคังหลินมากแต่ก็ยังคุมสติของตัวเองเอาไว้อยู่
จากนั้นสายตาของเธอก็กวาดมองไปยังฉินฟ่านเออร์แล้วพูดต่อ
“ แกนี่…ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนนางจิ้งจอกนั่นเข้าไปทุกทีนะ ไม่แปลกใจเลยที่ลูกชายของฉันหลงแกจนโงหัวไม่ขึ้น ”
“ หุบปากไปซะ!…ผู้หญิงสารเลวแบบแก อย่ามาดูถูกแม่ของฉัน ” ฉินฟ่านเออร์พูดเสียงเย็นชา ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่ของเธอต้องตาย และยังคอยวางแผนชั่วทำร้ายเธอกับน้องชายตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต วันนี้เธอก็ต้องสังหารอีกฝ่ายเพื่อแก้แค้นให้ได้
“ ไม่ต้องเสียเวลาพูดคุยกับคนแบบนี้หรอก…รีบจัดการให้เสร็จแล้วรีบกลับไปช่วยป้องกันเมืองเหล็กดำกันเถอะ ” คังหลินพูดขึ้นด้วยแววตาจริงจัง
ตอนนี้หน่วยเงาปีศาจและพวกปรมาจารย์ที่ติดตามเขามาด้วย กำลังรับมือกับทหารองครักษ์สองพันคนของอีกฝ่ายอยู่ เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาบุกเข้ามาสังหารผู้นำศัตรู
จะมามัวเสียเวลาไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจเกิดการสูญเสียขึ้นได้
ฉินฟ่านเออร์ที่ได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าเบาๆ สายตาเธอจ้องมองไปที่ศัตรูคู่แค้นด้วยความเย็นชา เหตุผลที่เธอฝึกฝนอย่างหนักเสมอมา ก็เพื่อจะสังหารอีกฝ่ายด้วยตัวเอง
‘ ฉันไม่มีทางแพ้ ให้กับคนที่เอาแต่เสวยสุขแล้ววางแผนชั่วไปวันๆแน่นอน ’
หลังจากคังหลินกำจัดพวกผู้คุ้มกันไปหมดแล้ว ที่แห่งนี้ก็เหลือเพียงพวกเขาสี่คนเท่านั้น ขอเพียงเขาแยกขันทีชุดดำออกไปได้ ก็จะเหลือพระชายาหลักตัวคนเดียว
ฟุ่บ!
ร่างของคังหลินเหมือนกับสายลมหอบหนึ่ง ไปปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าขันทีชุดดำ พัดในมือกางออกฟันใส่อีกฝ่ายเหมือนกับดาบอันแหลมคม
ฉัวะ!
คลื่นปราณสีเขียวรูปพระจันทร์เสี้ยวพุ่งเข้าใส่เป้าหมายในพริบตา
แต่ทว่า
เปรี้ยงงง!
เกิดม่านพลังสีฟ้าใสต้านทานการโจมตีของคังหลินเอาไว้ โดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่จำเป็นต้องขยับตัวแม้แต่น้อย
!!
“ ค่ายกลป้องกันระดับห้า งั้นเหรอ ” คังหลินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขารีบถอยกลับไปยืนข้างฉินฟ่านเออร์เหมือนเดิม แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆเหมือนกำลังค้นหาใครอยู่
“ หืม…รู้ตัวแล้วรึ ”
เสียงปริศนาดังขึ้น เหมือนกำลังรู้สึกแปลกใจที่คังหลินมองวิชาของเขาออก จากนั้นชายชราคนหนึ่งในชุดเก่าขาดซอมซ่อก็ปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า
เขายืนอยู่ข้างพระชายาหลักตั้งแต่ต้น และใช้ค่ายกลอำพรางร่องรอยตัวเองเอาไว้ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสัมผัสถึงตัวตนไม่ได้
“ นี่มัน…ผู้อาวุโสหยางกง ” ฉินฟ่านเออร์ตกใจมากที่เห็นอีกฝ่ายอยู่ตรงนี้ เธอจึงรีบส่งเสียงทางลมปราณหาคังหลินทันที
“ นายท่านระวังตัวด้วย…ชายชราคนนี้เป็นเซียนขั้นกลางของพรรคกระยาจก ซึ่งมีความสามารถโดดเด่นทางด้านค่ายกลเป็นอย่างมาก ไม่นึกเลยว่าพระชายาหลักจะเชิญเขาออกมาได้ ”
“ ค่ายกลป้องกันทั้งหมดในเมืองหลวง ก็เป็นผลงานของชายชราคนนี้นี่แหละ ”
ฝ่ายคังหลินที่ได้ยินก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่เขาถามกลับทันทีว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร
“ ฉันไม่เคยเห็นเขาต่อสู้มาก่อน…แต่จากข้อมูลที่สืบมาดูเหมือนเขาจะไม่ถนัดในการต่อสู้ระยะประชิด แต่ถนัดใช้ค่ายกลเอาชนะมากกว่า ”
เมื่อได้ยินแบบนี้คังหลินก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วยิ้มขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก หากฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งจริงๆเขาจะพาฉินฟ่านเออร์หลบหนีทันที
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมีดีแค่ค่ายกล ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
‘ คิดจะมาแข่งด้านค่ายกลกับผู้เชี่ยวชาญอย่างฉันงั้นเหรอ…เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย แกชะตาขาดแล้วล่ะ ’
ทางด้านสนามรบ หลังจากที่ทัพแกร่งแห่งแคว้นต้าฉินออกศึก ก็ได้เพิ่มความกดดันให้จ้าวเทียนขึ้นหลายส่วน มันทำให้เขาต้องเสียเวลาไปมากจนเริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
‘ นี่ก็ผ่านไปสามสิบนาที…ตามที่ฉันตกลงไว้กับพวกปรมาจารย์แล้ว แต่ฉันยังเข้าไปไม่ถึงตัวแม่ทัพใหญ่ทั้งสี่เลย ’
ตอนนี้ยังเหลือทหารม้าของศัตรูอีกสี่พันคน พวกเขาเปลี่ยนมาใช้วิธีการกระจายกันโอบล้อมแทน ตามกลศึกของแม่ทัพทิศบูรพา ทำให้จ้าวเทียนไม่สามารถจัดการได้หลายคนในทีเดียว
เปรี้ยงงง!
ปราณกระบี่ขนาดใหญ่ฟันกวาดออกไป ม้าศึกหลายสิบตัวกระเด็นไปกระแทกพื้นพร้อมกับเจ้านายของมัน
“ พอกันที! ถ้ายังคิดถ่วงเวลาอีก ฉันจะสังหารไม่ละเว้นแล้ว ”
บูมมม!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน