คำประกาศท้าสู้ของอีกฝ่าย ทำให้จ้าวเทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึง
“ หืม…เอาจริงเหรอ นึกว่าแกจะหาข้ออ้างประเภทนัดสู้กันวันหลัง แล้วรีบหลบหนีกลับไปเสียอีก ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ ไม่จำเป็น…ฉันจะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว ” ประมุขกวงฉีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้ที่มีขอบเขตเจตน์แห่งกระบี่อย่างจ้าวเทียน ก็ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“ ดี…รับนี่ไป ” จ้าวเทียนโยนโอสถฟื้นฟูขั้นสูงให้อีกฝ่าย ซึ่งประมุขกวงฉีก็รับไว้แล้วโยนเข้าปากทันที เขาเชื่อว่าจ้าวเทียนไม่มีเหตุผลที่ต้องใช้ยาพิษ
วูปป!
เมื่อโคจรพลังเซียนได้ครู่เดียว ประสิทธิภาพของโอสถก็ส่งผลออกมา บาดแผลทั่วร่างกายของประมุขกวงฉีเริ่มสมานตัวอย่างรวดเร็ว แม้แต่พลังที่สูญเสียไปก็ฟื้นคืนกลับมาในพริบตา
“ สหานเซียนเทียน…เรื่องนี้ ” กงม่านเออร์มีท่าทีกังวลเล็กน้อย แม้เธอจะรู้ว่าจ้าวเทียนแข็งแกร่ง
แต่ประมุขกวงฉีนั้นมีขอบเขตฝึกตนสูงกว่าถึงหนึ่งขั้นใหญ่ ทั้งยังบรรลุขอบเขตหลอมรวมอาวุธและมีประสบการณ์ต่อสู้อันยาวนาน ไม่ใช่คนที่ลิ้มเฉียวฟงจะเทียบได้
การที่ไปรักษาอีกฝ่ายให้หายดี นี่มันจะประมาทเกินไปหรือเปล่า
“ ไม่เป็นไรหรอก…นานแล้วที่ไม่มีคนท้าทายฉันแบบนี้ หากมันจบง่ายเกินไป ก็คงจะน่าเบื่อแย่ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย แม้เขาจะบอกให้กงม่านเออร์กลับไปดูแลสถานการณ์ด้านล่างก่อน แต่เธอก็ปฏิเสธ
เพราะการต่อสู้ระดับสูงแบบนี้ ใช่ว่าจะพบเจอได้ง่าย การที่ได้สังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด มันจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนในอนาคตเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายเตรียมพร้อมแล้ว ผู้ชมอย่างกงม่านเออร์ก็ทิ้งระยะห่างออกไปไกลเกือบหมื่นเมตร เพื่อไม่ให้รบกวนการต่อสู้
“ ก่อนจะสู้…ฉันมีหนึ่งคำถาม พลังฝีมือของแกเทียบกับเทพกระบี่เป็นยังไงบ้าง ” ประมุขกวงฉีถามขึ้นด้วยแววตาเฉียบคม
“ ดูเหมือน…แกจะยึดติดกับเทพกระบี่มากเลยนะ เอาอย่างนี้ ถ้าแกสร้างบาดแผลให้ฉันได้แม้เพียงเล็กน้อย ฉันจะตอบให้ก็แล้วกัน ” จ้าวเทียนพูดออกมาอย่างจริงจัง แตกต่างกับท่าทีผ่อนคลายในตอนแรก
วูป!
จ้าวเทียนเปลี่ยนอาวุธเป็นกระบี่ราชันสวรรค์ กับคู่ต่อสู้ที่บรรลุขอบเขตคนดาบประสานเป็นหนึ่ง การใช้กระบี่ธรรมดาไปสู้ คงไม่ต่างจากการเอาไข่ไปกระทบหิน
‘ ครั้งนี้ ฉันจะใช้วิชาเก้ากระบี่เดียวดาย ที่ถูกปรับปรุงใหม่ดูก็แล้วกัน ’
จ้าวเทียนยังจำตอนที่ต่อสู้กับสามผู้นำของสมาพันธ์บู๊ลิ้มได้ ในตอนนั้นเทพกระบี่ได้แสดงกระบวนท่าที่ถูกปรับปรุงใหม่ให้ดู
ด้วยความทรงจำแบบภาพถ่ายของจ้าวเทียน แม้เห็นเพียงครั้งเดียว เขาก็จดจำได้อย่างขึ้นใจ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีโอกาสได้ทดลองใช้จริง เนื่องจากคู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไป
ในระหว่างที่พวกเขาทั้งสองคนกำลังรอจังหวะอยู่นั่นเอง ก็ได้มีนกเหยี่ยวตัวหนึ่งบินผ่านมาโดยไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ เหมือนกำลังเล็งเป้าหมายไปที่กระต่ายน้อยที่อยู่ในป่าด้านล่าง
เฟี้ยววว!
เหมือนเป็นความบังเอิญที่เหยี่ยวตัวนั้นบินผ่านหน้าทั้งสองคนพอดี ทำให้นัยน์ตาของทั้งคู่หดเล็กลง จิตสังหารที่เก็บซ่อนไว้ระเบิดออกมาในพริบตา
บูมมมม!
“ สังเวยโลหิตเทพอสูร ” ประมุขกวงฉีตะโกนขึ้นเสียงดัง ด้วยดวงตาแดงฉานที่เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง ปลดปล่อยเคล็ดวิชาต้องห้ามออกมาทันที
“ ดาบคลั่งล้างโลกา! ”
บูมมม!
ร่างจำแลงของเทพอสูรแปดแขนสี่หน้าได้ปรากฏขึ้นด้านหลังของประมุขกวงฉี แล้วใช้แขนทั้งแปดฟาดฟันดาบออกไปทางจ้าวเทียนอย่างรุนแรงและดุดัน
เปรี้ยง!ๆๆๆๆๆๆๆๆ
คลื่นดาบสีดำขนาดใหญ่ซ้อนทับกันถึงแปดชั้น ฟาดฟันเข้าใส่จ้าวเทียนอย่างถี่รัว จนกำแพงอากาศโดยรอบพังทลายเป็นทางยาว
เกินเป็นช่องว่างสีดำจำนวนมากรอบตัวของจ้าวเทียน เพื่อตรึงเอาไว้ไม่ให้หลบหนี
“ เก้ากระบี่เดียวดาย เคล็ดทำลายดาบ! ”
ฉัวะ!ๆๆ
กระบี่ในมือจ้าวเทียนฟันออกไปสามครั้ง แต่กลับมองเห็นเป็นภาพติดตาจำนวนมาก รังสีกระบี่หลายสิบสาย ระเบิดเข้าใส่ช่องโหว่ของคลื่นดาบแปดชั้น ทำให้มันคลายตัวออก ไม่อาจประสานกันได้ดังเดิม
กระบวนท่านี้ของจ้าวเทียนเหนือกว่าในอดีตแน่นอนนอกจากจะมีความรุนแรงขึ้นสามส่วนแล้ว รังสีกระบี่ทุกสายยังทะลวงเข้าใส่พร้อมกันในพริบตา
เปรี้ยง!ๆๆๆๆๆๆๆ
หากมองจากสายตาของกงม่านเออร์ ตอนนี้รอบตัวของจ้าวเทียนและประมุขกวงฉีได้ถูกปิดล้อมด้วยช่องว่างสีดำทุกทิศทาง จนแทบจะมองไม่เห็นตัว
ได้ยินเพียงแค่เสียงระเบิดดังสนั่น เนื่องจากชั้นบรรยากาศทนรับพลังอันรุนแรงของพวกเขาสองคนไม่ไหว
โฮกกกก!
ประมุกกวงฉีคำรามออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง หมุนตัวฟาดฟันพายุคมดาบเข้าใส่จ้าวเทียน โดยไม่สนใจป้องกันตัวเอง
ในใจเขาคิดเพียงสังหารฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม
“ เหอะ…คิดว่าฉันจะกลัวหรือไง ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน