ณ เขตหวงห้ามของพระราชวังแคว้นฉู่หนึ่งในห้าแคว้นใหญ่
สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนลานกว้างที่มีพื้นหลายพันเมตร ที่นี่ได้รับดูแลรักษาสภาพเป็นอย่างดี มีเสาหินยักษ์ทั้งแปดค้ำยันมหาวิหาร ที่มีลักษณะคล้ายแท่นบูชาเทพเจ้า
ทางเข้ามหาวิหารทั้งสองด้าน มีป้ายหินสองป้ายสูงประมาณยี่สิบเมตร แกะสลักเป็นรูปร่างมังกรและพญาหงส์ดูยิ่งใหญ่อลังการ
ตัวอักษรที่ถูกแกะสลักอยู่ตรงป้ายทั้งสอง จะเป็นการบรรยายถึงคุณงามความดีของปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ฉู่ ที่ในอดีตเคยเป็นใหญ่เหนือแคว้นทั้งหมด
ตรงบันไดทางขึ้นที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ด้านในของวิหาร จะมีภาพแกะสลักของกองทัพทหารม้ากำลังเคลื่อนที่เข้าไปด้านหน้าอย่างห้าวหาญ เหมือนกำลังจะบุกเข้าไปเข่นฆ่าศัตรู
เมื่อขึ้นบันไดมาแล้ว จะพบกับพรมสีแดงที่ถูกปูไว้เป็นเส้นทางเดิน โดยที่มีรูปปั้นแม่ทัพทหารม้าสวมชุดเกราะเต็มยศข้างละสองตัว ซึ่งอยู่ในทวงท่าที่มือของพวกเขาวางอยู่บนด้ามกระบี่ ราวกับจะสามารถชักกระบี่ออกมาได้ตลอดเวลา
ผู้ที่ได้พบเห็น ล้วนสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของรูปปั้นทั้งสี่ เหมือนกับว่ามันมีชีวิตและสามารถสังหารผู้ใดก็ตามที่ฝ่าฝืนเจ้านายของตน
“ ช่างเป็นการสิ้นเปลืองจริงๆ…ดูวัสดุพวกนี้สิ รูปปั้นแม่ทัพขี่ม้าแต่ละตัว ถึงกับถูกแกะสลักมาจากหินวิญญาณระดับกลางก้อนใหญ่ หนักเกือบหนึ่งตันเลยทีเดียว ” ชายสวมหน้ากากพยัคฆ์ พูดขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ เหอะ!…ก็แค่หินวิญญาณชั้นต่ำ ไม่มีค่าแม้แต่จะให้ฉันใช้ขัดรองเท้าด้วยซ้ำ ” ชายสวมหน้ากากกิเลนแค่นเสียงออกมาอย่างดูถูก
“ ฮ่า ฮา…นายก็อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับแดนสวรรค์สิ สำหรับพวกชาวพื้นเมือง หินวิญญาณพวกนี้ล้ำค่ามากเลยนะ ” ชายสวมหน้ากากพยัคฆ์หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน ทำให้สหายของเขาที่อยู่ด้านข้างพูดขัดขึ้นด้วยความคับข้องใจ
“ พวกเราจะต้องทนอยู่แบบนี้อีกนานแค่ไหนกัน…นี่มันก็ผ่านมาแปดปีแล้ว ฉันอยากจะรีบกลับไปที่สำนักเร็วๆ ป่านนี้พวกศิษย์น้องคนอื่นๆ คงจะแซงหน้าฉันไปหมดแล้ว ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ชายที่สวมหน้ากากพยัคฆ์ก็ถอนหายใจยาว เพราะตัวเขาเองก็อยากกลับไปที่สำนักเช่นกัน
บนโลกระดับต่ำแบบนี้ ขาดทั้งทรัพยากรและพลังวิญญาณ ทำให้พวกเขาไม่สามารถฝึกฝนได้ แม้ตอนแรกจะพอใช้หินวิญญาณระดับสูงทดแทนได้บ้าง
แต่ปริมาณที่พวกเขาใช้ในแต่ละครั้งมันเยอะเกินไป แค่เดือนเดียวหินวิญญาณระดับสูงหลายสิบก้อน ที่ถูกเก็บไว้ในคลังสมบัติแคว้นหลี่ก็ถูกใช้ไปจนหมด
ถ้าจะให้ไปแย่งชิงมาจากสมาพันธ์บู๊ลิ้ม ก็จะถือเป็นการเปิดเผยตัวตนก่อนเวลาอันควร อาจทำให้ภารกิจที่สำคัญของสำนักล้มเหลวได้ สุดท้ายที่ทำได้ก็มีเพียงการอดทนรอต่อไปเท่านั้น
“ ว่าแต่…ทูตตัวแทนที่พวกเราส่งไปอีกสามแคว้นที่เหลือกลับมาหรือยัง ฮ่องเต้พวกนั้นยอมรับข้อเสนอไหม ” ชายสวมหน้ากากพยัคฆ์พูดขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“ ไม่มีปัญหา…พวกเขาตอบรับหมดแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ประตูมิติของโลกนี้เปิด แล้วกำลังเสริมของสำนักเราเข้ามา ก็พร้อมเริ่มสงครามได้ทันที ” ชายสวมหน้ากากกิเลนพูดขึ้นอย่างมั่นใจ
แท้จริงแล้ว ชายสองคนนี้เป็นศิษย์สายในของสำนักจตุเทวะบนแดนสวรรค์ ซึ่งเป็นสำนักเก่าแก่ระดับสูง ที่มีอำนาจปกครองโลกระดับต่ำและระดับกลางหลายสิบใบ
ซึ่งสำนักจตุเทวะก็ได้ปกครองโลกที่อยู่ในอาณาเขตของตน มาเป็นเวลายาวนานเกือบแสนปี ทำให้พวกเขาได้รับทรัพยากรวัตถุและทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก แน่นอนว่าโลกมนุษย์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่ทว่าเมื่อหนึ่งหมื่นสองพันปีก่อน บนโลกมนุษย์กลับปรากฏสำนักจูเซียนขึ้น ด้วยเวลาสั้นๆเพียงแค่สองพันปี สำนักนี้กลับสามารถยกระดับตนเอง จนเหนือกว่าสำนักจตุเทวะซึ่งเป็นผู้ปกครอง
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะการที่ผู้ฝึกตนบนโลกระดับต่ำจะเหนือกว่าผู้ฝึกตนบนแดนสวรรค์นั้น มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่สุดท้ายเมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ สำนักจตุเทวะก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับ ทั้งยังต้องยอมส่งโลกที่ปกครองอยู่ครึ่งหนึ่ง ให้เป็นเครื่องบรรณาการเพื่อผูกมิตรอีกด้วย
เนื่องจาก พวกเขาไม่สามารถต่อกรกับสำนักจูเซียนได้…
เมื่อเวลาผ่านไป สำนักจูเซียนก็สามารถเอาชนะทุกกองกำลังบนแดนสวรรค์ และให้กำเนิดจักรพรรดิเทพองค์ใหม่ขึ้น นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดของโลกมนุษย์เลยทีเดียว
น่าเสียดายที่ช่วงเวลานั้นคงอยู่ได้เพียงไม่ถึงร้อยปี อยู่มาวันหนึ่งจักรพรรดิเทพก็หายสาบสูญไป จากนั้นสำนักจูเซียนบนแดนสวรรค์ก็ได้ถูกกวาดล้างจนหมด
แน่นอนว่า ที่โลกมนุษย์เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะเป็นรากฐานและต้นกำเนิดของสำนักจูเซียน โดยผู้ที่ลงมือกับโลกมนุษย์เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ก็คือสำนักจตุเทวะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน