ณ ฐานบัญชาการหลักของสมาพันธ์บู๊ลิ้ม
ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ที่ดูหรูหราของผู้นำสมาพันธ์ เจ้าตำหนักเทวะพร้อมด้วยยอดฝีมือลึกลับทั้งหก กำลังเผ้ามองดูภาพที่ปรากฏขึ้นบนคริสตัลกลางห้อง ด้วยรอยยิ้มอันเย็นชา
ถึงแม้จะเห็นผู้คนของฝ่ายตนถูกเข่นฆ่าอย่างไร้ความปราณี พวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีลำบากใจแม้แต่น้อย
แตกต่างจากเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินและประมุขพรรคกระยาจกที่ถูกจับไว้เป็นตัวประกัน พวกเขามองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาอันแดงฉานจากความโกรธแค้น
“ อามิตาพุทธ…อาตมาไม่เข้าใจ ในเมื่อศัตรูก็เปิดเผยตัวออกมาหมดแล้ว เหตุใดพวกประสกจึงไม่สั่งให้โจมตี เพื่อช่วยชีวิตฝ่ายเดียวกัน ” หลวงจีนคิ้วขาวพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ฝืนสะกดอารมณ์ตนเองไว้
“ หึหึ หลวงจีนคิ้วขาว เวลานี้ต้องปล่อยให้พวกมันทำตามใจชอบไปก่อน หากพวกเราลงมือแล้วเกิดทำให้พวกมันหวาดกลัว จนคิดหลบหนีออกไปในโลกภายนอกขึ้นมา แผนการที่วางไว้ก็ล้มเหลวกันพอดีสิ ” หยวนไป่เฉียนอธิบายอย่างใจเย็น
เนื่องจากไม่คิดจะไว้ชีวิตอีกฝ่ายอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรต้องปิดบัง เมื่อไหร่ที่ใช้งานวัดเส้าหลินกับพรรคกระยาจกจนพอใจแล้ว ก็ค่อยสังหารพวกเขาสองคนทิ้งก็ไม่สาย
“ แผนการงั้นเหรอ…หรือว่า พวกแกคิดจะใช้สมาพันธ์บู๊ลิ้มทั้งหมดเป็นเหยื่อล่อตั้งแต่แรกแล้ว ” อั้งฮวงหลงตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล
“ ฉลาดดีนี่ เสียดายที่รู้ตัวตอนนี้ก็สายไปแล้ว ทำใจยอมรับชะตากรรมซะเถอะ ทั้งแกและพวกพ้องทุกคน จะต้องพลีชีพเพื่อจุดมุ่งหมายของพวกเรา ” หนึ่งในยอดฝีมือลึกลับพูดตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
คำพูดประโยคนี้ ทำให้หลวงจีนคิ้วขาวและอั้งฮวงหลงหน้าเปลี่ยนสีทันที นี่มันเลวร้ายกว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้มาก
“ เห็นแก่ที่รู้จักกันมาสี่ร้อยปี ฉันจะบอกความจริงทุกอย่างให้ได้รู้ก็แล้วกัน เนื่องจากบรรพชนของฉันหลับใหลนานเกินไป ทำให้โลกใบนี้กำลังจะสิ้นอายุขัยลงในไม่ช้า ”
“ ซึ่งทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ ก็คือต้องเซ่นสังเวยชีวิตของยอดฝีมือระดับสูงจำนวนมาก เพื่อฟื้นฟูพลังให้โลกใบนี้ไงล่ะ ”
“ ถ้าให้อธิบายง่ายๆ สมาพันธ์บู๊ลิ้มก็คือฝูงแกะที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดี จนอ้วนท้วนสมบูรณ์และศัตรูที่บุกเข้ามา ก็คือฝูงหมาป่าที่ถูกดึงดูดเข้ามาเพราะความโลภ ”
“ ที่พวกฉันต้องทำ ก็แค่ต้อนให้แกะกับหมาป่ามาอยู่รวมกัน เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในคราวเดียว เป็นยังไงบ้าง แผนการนี้มันช่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติเลยใช่ไหม ”
พูดจบ ทั้งหยวนไป่เฉียนและยอดฝีมือลึกลับอีกหกคน ก็หัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความพึงพอใจ โดยไม่ได้สนใจใบหน้าโกรธเกรี้ยวของพวกหลวงจีนคิ้วขาวแม้แต่น้อย
“ บัดซบ! พวกแกไม่ตายดีแน่ ” อั้งฮวงหลงตะโกนออกมาอย่างดุดัน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาถูกผนึกพลังไว้ คงพุ่งเข้าไปแลกชีวิตกับอีกฝ่ายแล้ว ต่อให้ต้องสู้จนตัวตาย ก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายใช้ประโยชน์แบบนี้
“ เลิกดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์เถอะ ผู้ที่ถูกเคล็ดวิชาลับสกัดชีพจรเทวะของฉันไป แม้แต่จะกระดิกนิ้วยังลำบากเลย จงเฝ้าดูเรื่องราวทั้งหมดอยู่ตรงนั้นไปอย่างสงบเสียดีกว่า ”
“ อย่างน้อย ฉันสัญญาว่าจะส่งพวกแกไปโลกหน้าอย่างไม่ทรมาน ” หยวนไป่เฉียนพูดขึ้นด้วยร้อยยิ้ม เขาชอบมองดูใบหน้าอันสิ้นหวังของผู้คนที่สุด มันทำให้รู้สึกเหมือนทุกอย่างอยู่ในกำมือของตนเอง
เมื่อได้หยอกล้อเชลยจนพอใจแล้ว ทั้งเจ็ดคนก็หันมาปรึกษาแผนการกันต่อ
“ ไป่เฉียน ทางเมืองหลวงแคว้นต้าฉินตอนนี้มีความเคลื่อนไหวยังไงบ้าง ” หนึ่งในยอดฝีมือลึกลับถามขึ้น
“ ท่านผู้นำรุ่นเจ็ดไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อวานฉันได้ส่งกองกำลังลับของพวกเราไปปิดล้อมเมืองหลวงไว้หมดแล้ว อีกทั้งยังปิดกั้นการใช้เขตอาคมเคลื่อนย้ายเอาไว้ รับรองว่าพวกมันไม่มีทางหลบหนีออกมาได้ โดยที่พวกเราไม่รู้แน่นอน ” หยวนไป่เฉียนพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ
ห้าร้อยปีที่ผ่านมา ตำหนักเทวะเองก็แอบเพาะสร้างนักรบเดนตายเอาไว้เป็นการลับเช่นเดียวกัน โดยใช้เคล็ดวิชาที่แย่งชิงมาจากห้าสำนักใหญ่ มาฝึกฝนให้กับคนในตระกูลรองของพวกเขา
ต้องรู้ก่อนว่า ตระกูลหยวนได้ย้ายเข้ามาอาศัย ในโลกหมิงหลงตั้งแต่หมื่นปีก่อน ทำให้สืบทอดลูกหลานแตกแขนง เป็นกิ่งก้านสาขาออกมามากมาย การจะคัดเลือกคนจำนวนหนึ่งที่มีความจงรักภักดีมาฝึกฝน ย่อมไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ เซียนขั้นสูงสุดสองร้อยคน ที่ฝึกฝนสุดยอดวิชาและพร้อมต่อสู้จนตัวตาย ต่อให้เป็นจ้าวเทียนกับเทพกระบี่ ก็คงพาผู้คนบุกฝ่าออกมาได้ยากลำบากเช่นกัน
“ เป็นแบบนั้นฉันก็วางใจ สงครามครั้งนี้จะตัดสินชะตากรรมความรุ่งเรืองตระกูลหยวนของพวกเรา จะปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน