ผ่านไปไม่นาน หลังจากที่จ้าวเทียนได้ทักทายกับทุกคนเรียบร้อย เขาก็กวาดมองไปยังทูตมังกรทองกับพรรคพวกด้วยสายตาเย็นชา
“ พวกแกมาโจมตีคนของฉันทำไม…ก่อนหน้านี้ก็ตกลงเป็นพันธมิตรกันแล้วไม่ใช่รึไง หรือว่าจะโลภมาก จนไม่สนใจเรื่องเป้าหมายเดิมแล้ว ” จ้าวเทียนได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเฉินจิ้งแล้ว รวมถึงเรื่องที่หวังซินหยางไปเจรจากับอีกฝ่ายด้วย
“ นี่แก อย่าปากดีให้มันมากนัก ” ทูตกระเรียนตะโกนขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธ ความพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้มันสร้างความอับอายให้เขามาก
“ พอแล้ว นายถอยไปยืนด้านหลังซะ ” ทูตมังกรทองรีบห้ามลูกน้องทันที ที่อีกฝ่ายพูดมานั้นถูกแล้ว พวกเขายังมีภารกิจที่ต้องทำ
จะมาสูญเสียกำลังพลโดยไร้ประโยชน์ในที่แบบนี้ไม่ได้ ต่อให้โอสถระดับศักดิ์สิทธิ์จะล้ำค่าแค่ไหน แต่มันก็ไม่คุ้มถ้าต้องแรกกับชีวิตของพี่น้องมากมาย ก่อนที่สงครามจะเริ่ม
“ ฉันต้องขอโทษด้วย ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเราจะถอยออกไปเดี๋ยวนี้ เชิญพวกคุณจัดการเรื่องประตูมิตินี้ตามสบายเลย ” ทูตมังกรทองพูดขอโทษเสียงดัง มาถึงขั้นนี้หากเขายังไม่รู้ดีชั่ว ก็คงเสียทีที่เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของสำนักจตุเทวะแล้ว
‘ ทั้งคนที่ชื่อว่าจ้าวเทียนและชายชราที่เพิ่งมาถึง ไม่ใช่คนที่จะต่อกรได้โดยง่าย แถมยังมีหญิงสาวอีกสองคนที่ฉันสัมผัสได้ถึงพลังงานแห่งแสงสว่างอีก ’
‘ หากฉันเดาไม่ผิด พวกเธอจะต้องเป็นคนจากโลกทิพย์แห่งแสงแน่นอน ด้วยขุมกำลังระดับนี้หากฉันสั่งให้ทุกคนโจมตี ต่อให้เอาชนะได้ แต่ฝ่ายเราก็ต้องสูญเสียไปเกินครึ่งอย่างแน่นอน ’
‘ ส่วนเรื่องโอสถศักดิ์สิทธิ์…ไว้หลังจากที่ภารกิจเสร็จแล้ว ค่อยแย่งชิงมาก็ไม่สาย ’
ทางฝ่ายจ้าวเทียนที่เห็นศัตรูเลือกถอยหนีไปแบบไม่สู้ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความโล่งอก ทำให้เฉินจิ้งที่ยืนอยู่ด้านข้าง ต้องถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
“ บอส ทำไมเราไม่จัดการพวกมันไปเลย ยังไงซะพวกมันก็ไม่มีทางยอมละทิ้งความโลภแน่นอน แค่ดูจากสายตาของพวกมันก็รู้แล้ว ”
ซึ่งคำพูดของเฉิ้นจิ้งก็ทำให้หลายคนพยักหน้าตาม เพราะพวกเขาเองก็คิดแบบเดียวกัน
“ อาจิ้ง นายต้องหัดเรียนรู้เรื่องแผนการจากหวังซินหยางบ้างนะ พวกเราไม่สามารถใช้แต่กำลังอย่างเดียวได้ ”
“ คนพวกนี้ เป็นตัวหมากสำคัญที่ใช้ในการต่อสู้กับตำหนักเทวะและสมาพันธ์บู๊ลิ้ม ถ้าสังหารพวกเขาทิ้งที่นี่มันก็มีแต่จะทำให้เรื่องมันแย่ลง”
“ นอกจากนี้ ถ้าพวกเราสู้กันจริงๆ นายคิดว่าพี่น้องของนายในหน่วยเซียนเทียนทั้งสามร้อยห้าสิบคน จะสามารถรอดชีวิตไปได้กี่คนกันล่ะ ” จ้าวเทียนพูดเตือนขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้หลายคนที่ได้ยินก้มหน้าลงทันที
หลังจากเห็นทุกคนเข้าใจดีแล้ว จ้าวเทียนก็เดินเข้าไปทักทายต้วนมู่เฉียนและสอบถามถึงเรื่องความคืบหน้าของเรื่องราวต่างๆ ในช่วงที่เขาไม่อยู่
“ จริงสิ การที่ผู้อาวุโสออกมาแบบนี้ แล้วสถานการณ์ทางด้านท่านประธานาธิบดีจะไม่เป็นปัญหาเหรอ ” จ้าวเทียนถามขึ้นเหมือนเพิ่งนึกได้พอดี
“ หึหึ ถ้าเป็นเรื่องนั้นนายไม่ต้องห่วง ฉันจัดการทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ” ต้วนมู่เฉียนยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ
ในเวลาเดียวกัน ณ สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ
ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ดูกว้างขวาง ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ล้ำค่า แฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบ
ขณะที่ท่านประธานาธิบดีกำลังอ่านหนังสืออยู่อย่างผ่อนคลาย นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มีโอกาสอยู่คนเดียวแบบนี้
เพราะตั้งแต่ที่รับตำแหน่งมา ชีวิตของเขาก็กลายเป็นของส่วนรวม ไม่ว่าจะทำอะไรต่างก็จะต้องถูกจับตามองเสมอ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสต้วนมู่จะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเขามากนัก แต่ความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจับจ้องมาที่ตนเองตลอดเวลา แม้ในยามที่หลับใหลมันก็เกินจะรับได้จริงๆ
“ ผู้อาวุโสต้วนมู่เฉียน ”
“ สวัสดี คุณอยู่รึเปล่า ”
( …….. )
ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ชายชราคนนั้นจากไปจริงๆ ทำให้ใบหน้าของท่านประธานาธิบดีค่อยๆปรากฏรอยยิ้มขึ้นอย่างโล่งใจ พร้อมกับพูดกับตัวเองเบาๆ
“ บางทีฉันน่าจะใช้โอกาสนี้ หาวันหยุดให้ตัวเองสักสองสามวัน จะได้พาครอบครัวไปเที่ยวเล่นผ่อนคลายความเครียดบ้าง ”
ก๊อกๆ
“ ท่านครับ…หลานสาวท่าน คุณหนูหลินซิงเสวียนมาขอพบ ” ผู้ช่วยหนุ่มได้เข้ามารายงาน
!!
สีหน้าของท่านประธานาธิบดีเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นทันที เพราะท่านรักและเอ็นดูเด็กหญิงคนนี้มาก ถึงขนาดเคยคิดจะรับไว้เป็นบุตรบุญธรรมด้วยซ้ำ
อะแฮ่ม!
หลังจากกระแอมออกมา ท่านก็เก็บหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้ใส่เข้าชั้นหนังสือไป แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทางจริงจัง
“ ให้เข้ามาได้ ”
แอ้ดด!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน