ผ่านไปสองวันหลังจากประตูมิติเปิด กองทัพของสามแคว้นใหญ่ได้รุกคืบเข้าหาฐานบัญชาการของสมาพันธ์บู๊ลิ้มอย่างช้าๆแต่แน่นอน
ถึงแม้ต้องเผชิญกับแรงต้านของพวกสำนักระดับกลางและระดับต่ำหลายสิบสำนัก ที่ใช้วิธีบุกโจมตีแบบกองโจร แต่เพราะยอดฝีมือขั้นสูงสุดนับร้อยที่ทูตมังกรทองพามาด้วย ทำให้กองกำลังทั้งหมดได้รับผลกระทบไม่มากนัก
ที่น่าสงสาร ก็มีเพียงทหารกล้าเกือบสองล้านคนในตอนแรก ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงหนึ่งล้านสองแสนคนเท่านั้น พวกเขาถูกเคล็ดวิชาควบคุมจิตใจ และถูกใช้ไม่ต่างจากเบี้ยในกระดานหมากรุก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับค่ายกลสังหาร ระเบิดอสนีบาต หรือแม้กระทั่งระเบิดพิษร้าย สภาพของสนามรบที่เต็มไปด้วยกองซากศพ นั้นช่างน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ
ที่ตายก็ตายไป ที่ยังรอดอยู่ได้ ก็ต้องเหยียบย่ำซากศพของพวกพ้อง เดินหน้าต่อสู้ไปเรื่อยๆตามคำสั่ง เหมือนหุ่นเชิดที่ไร้จิตใจ
ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ ถูกถ่ายไว้โดยโดรนสอดแนมล้ำยุคที่มีลักษณะคล้ายนกพิราบ นี่คือสิ่งที่หวังซินหยางได้ให้สถาบันวิจัยสร้างขึ้นเลียนแบบองค์กรชีลด์ของอเมริกา
เพราะมันผลิตจากโลหะและเทคโนโลยีชีวภาพระดับสูง จึงไม่ถูกตรวจจับโดยสัมผัสวิญญาณของผู้ฝึกตน ยกเว้นว่าจะจับมาแยกชิ้นส่วนดูเท่านั้น ถึงจะรู้ว่ามันเป็นอะไร
แต่ก็แน่นอนว่า ในช่วงเวลาสงครามแบบนี้ คงไม่มีใครว่างพอจะไล่จับนกที่บินอยู่บนฟ้ามาเล่นสนุกหรอกจริงไหม
“ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่เกินสามวันกองทัพใหญ่สามแคว้น จะบุกไปถึงฐานบัญชาการหลักของสมาพันธ์บู๊ลิ้มแน่นอนครับ ” หวังซินหยางพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
สายตาของเขากวาดมองจอภาพมากมายหลายสิบจอ ที่เปิดเผยแง่มุมต่างๆของสนามรบและเมืองที่ถูกสมาพันธ์บู๊ลิ้มยึดครองไว้เป็นที่ซ่องสุมกองกำลัง
ด้วยเวลาเพียงแค่สองวัน หน่วยสนับสนุนทางการทหาร ก็สามารถติดตั้งเครื่องกำเนิดพลังงานไฟฟ้า และสถานีส่งสัญญาณได้สำเร็จ ทำให้พวกเขาสามารถติดตามสถานการณ์ของศัตรูทั้งสองฝ่ายได้อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ยังมีการก่อสร้างป้อมปราการขนาดเล็กขึ้นบริเวณใกล้ๆกับประตูมิติ เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการ เคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามา
ตอนนี้แกนนำของกลุ่มจ้าวเทียน ได้มารวมตัวกันในห้องสังเกตการณ์หมดแล้ว ยกเว้นลี่เหยาเหยา โม่ปิงหยูและผู้หญิงคนอื่น ที่ออกไปทดสอบประสิทธิภาพอาวุธใหม่อยู่ด้านนอก เพราะภาพที่ปรากฏอยู่บนจอมันโหดร้ายเกินไป แม้แต่เซียนปีศาจที่อยู่มานานอย่างไป่ซู่เจินกับซูต๋าจี ยังไม่ค่อยจะชอบใจนัก
ส่วนพวกต้วนมู่เฉียนทั้งสามคนนั้น เวลานี้คงกำลังเดินทางไปที่สนามรบ เพราะจุดประสงค์ของเขาตั้งแต่แรกก็คือการบรรลุขอบเขตเซียนนภาอยู่แล้ว
ด้วยความที่ต้วนมู่เฉียน เป็นผู้ที่เดินในเส้นทางของแก่นแท้สังหาร ดังนั้นสนามรบที่เต็มไปด้วยการเข่นฆ่าจึงมีประโยชน์กับตัวเขาที่สุด ถ้าหากเขาสามารถทำให้แก่นแท้สังหารของตนสมบูรณ์ได้ ย่อมมีผลอย่างมากในการทะลวงขอบเขตแน่นอน
“ สำนักระดับกลางหกสำนัก และสำนักระดับต่ำสิบเจ็ดสำนักถูกกวาดล้างจนล่มสลายไปแล้ว แต่ตำหนักเทวะก็ยังไม่ยอมลงมืออีกงั้นเหรอ ”
“ นี่พวกมันเห็นชีวิตของคนในสมาพันธ์บู๊ลิ้มเป็นอะไรกัน ” เหยียนซืออู่พูดขึ้นด้วยความโกรธ หากไม่ใช่เพราะจ้าวเทียน บางทีสำนักคุนหลุนอาจจะประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับสำนักพวกนั้นก็ได้
จ้าวเทียนที่ได้ยินก็ได้ถอนหายใจออกมา เขาคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้นั้น ดีกว่าที่เขาประเมินไว้ในตอนแรกมากนัก
เพราะอย่างน้อย สงครามในครั้งนี้ก็ไม่ได้ดึงเอาชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์มาเกี่ยวข้องด้วย การต่อสู้ทุกครั้งจะเกิดขึ้นที่นอกกำแพงเมืองมาโดยตลอด
“ ซินหยาง นายลองให้โดรนสอดแนมกระจายกันออกไปตรวจสอบ เมืองที่มีพวกสมาพันธ์รวมตัวกันเยอะที่สุดดูสิ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด เหมือนสังเกตอะไรบางอย่างออก
“ ได้เลยครับ ” หวังซินหยางรีบทำตามคำสั่งทันที ด้วยความเร็วในการเคลื่อนที่ของโดรนรุ่นใหม่ แค่เพียงสองชั่วโมงพวกเขาก็พบพิกัดที่แน่นอน และรีบเอาภาพขึ้นจอทันที
!!
“ หืม…นี่มันเมืองที่วัดเส้าหลินดูแลอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกเขาถึงอพยพประชาชนออกมาแบบนั้นกัน ” จ้าวเทียนพูดออกมาด้วยความแปลกใจ
“ บอสครับ ดูนั่นสิ ” เฉินจิ้งชี้ไปยังภาพเหตุการณ์ในจอภาพหนึ่ง ที่มีกลุ่มคนชุดดำกำลังลักลอบทำอะไรบางอย่างบริเวณกำแพงเมืองทั้งสี่ด้าน
“ ขุดหลุมงั้นเหรอ ไม่สิพวกเขากำลังฝังอะไรบางอย่างอยู่ ซินหยาง รีบซูมภาพเข้าไปอีกเร็วเข้า ” จ้าวเทียนพูดขึ้นอย่างร้อนรน
เขารู้สึกได้ว่า นี่จะต้องเป็นฝีมือของพวกตำหนักเทวะแน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน