เช้าวันต่อมา ในขณะที่คังหลินกำลังใช้สมาธิปรับปรุงค่ายกลอยู่ภายในห้องหนังสือ ฉินฟ่านเออร์ก็เปิดประตูเดินเข้ามาเงียบเชียบ เพื่อไม่ให้รบกวนการทำงานของเขา
สายตาที่เธอใช้มองดูคังหลินเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ เธอคิดว่าตัวเองเลือกไม่ผิดที่ตัดสินใจแต่งงานกับชายคนนี้ และมอบแคว้นต้าฉินให้เขาดูแล ไม่อย่างนั้นป่านนี้ แคว้นต้าฉินคงถูกม้วนเข้าสู่สงครามเหมือนกับอีกสี่แคว้นที่เหลือแล้ว
สามสิบนาทีผ่านไป
“ ในที่สุดก็เสร็จเสียที…คราวนี้ค่ายกลประสานของฉัน คงไม่ถูกหยวนเทียนหลงทำลายได้อย่างง่ายดายเหมือนก่อน ต่อให้ไม่อาจทำร้ายเขาได้ แต่เรื่องกักตัวเขาเอาไว้สักสามสิบนาทีคงไม่มีปัญหา ”
คังหลินใช้มือกดไปที่ขมับเล็กน้อยเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้า จากการใช้สมาธิอย่างหนักมาทั้งคืน
!!
“ หืม…นี่เธอเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ” เขาถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อหันไปเห็นฉินฟ่านเออร์ยืนอยู่ด้านหลังตัวเอง
“ หม่อมฉันเพิ่งมาถึงเพคะ แต่ไม่กล้ารบกวนพระองค์ก็เลยยืนรออยู่ด้านหลัง ” ฉินฟ่านเออร์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม เธอใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้คังหลิน และคอยดูแลเขาอย่างอ่อนโยน
“ เอ่อ…เราสองคนพูดคุยกันแบบปกติได้ไหม แค่ฟังขุนนางพวกนั้นใช้คำราชาศัพท์ทุกวัน ฉันก็ปวดหัวจะแย่แล้ว ” คังหลินยิ้มฝืนๆออกมา พร้อมกับรับถ้วยน้ำชาจากฉินฟ่านเออร์มาดื่มดับกระหาย
“ ได้สิ…ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะพูดคุยกับคุณแบบปกติก็แล้วกันนะ คุณสามี คิกคิก ” ฉินฟ่านเออร์หัวเราะออกมาอย่างน่ารัก ถึงแม้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางร่างกาย แต่ใจของเธอก็ยึดถืออีกฝ่ายเป็นคู่ชีวิตตั้งนานแล้ว
คังหลินที่เห็นท่าทางแบบนั้นของอีกฝ่าย ก็ส่ายหน้าเบาๆด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่ที่พวกเขาแต่งงานกัน นี่ก็เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่ถึงเดือน
จากหญิงสาวนิสัยเย็นชาที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย ตอนนี้ได้กลับกลายเป็นสาวน้อยน่ารักที่คอยดูแลเอาใจใส่สามีไปแล้ว
‘ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน…ฉันชอบเธอในตอนนี้มากกว่า อยู่ด้วยแล้วรู้สึกผ่อนคลายดี ’
“ จริงสิ เธอมาหาฉันตั้งแต่เช้าแบบนี้มีเรื่องอะไรเหรอ หรือจะเป็นข่าวความคืบหน้าของสงคราม ” คังหลินถามอย่างสนใจ
ตั้งแต่ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เขาก็ได้ยกหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองให้กับฉินฟ่านเออร์ทั้งหมด รวมไปถึงการสืบหาข้อมูล และติดตามสถานการณ์ภายในของสมาพันธ์บู๊ลิ้มด้วย
“ เรื่องสงครามยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อวาน ดูเหมือนสิ่งที่คุณคาดการณ์ไว้จะเป็นจริง พวกกองกำลังที่ควบคุมสามแคว้นใหญ่อยู่ ได้ค้นพบตัวตนของหยวนเทียนหลงแล้ว ทำให้พวกเขาหยุดการรุกคืบทั้งหมด เพื่อรอดูสถานการณ์ทางฝั่งพวกเรา ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ คังหลินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่แผนการถ่วงเวลาของเขาได้ผล เพราะผู้ที่เป็นคนปล่อยข้อมูลเรื่องหยวนเทียนหลงออกไป ก็คือตัวเขาเอง
‘ เท่านี้ เราก็น่าจะยืดเวลาเริ่มสงครามออกไปได้อีกสักพัก จนกว่าศิษย์น้องจะฟื้นขึ้นมาและเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น ’
“ งั้นถ้าไม่ใช่เรื่องสงคราม หรือว่าจะเป็น… ”
“ กงเสี่ยวเหมย กับผู้คุ้มกันหญิงอีกสองคนได้จากไปแล้ว ฉันทำตามที่คุณบอก โดยการส่งคนคอยจับตาดูพวกเธอตลอดเวลา จนถึงตอนประมาณหกโมงเช้า ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ” ฉินฟ่านเออร์รายงานสถานการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด
“ เธอไปแล้วสินะ… ” คังหลินพูดกับตัวเองเบาๆ เรื่องตัวตนที่แท้จริงของกงเสี่ยวเหมยมีเพียงเขากับจ้าวเทียนเท่านั้นที่รู้
เรื่องนี้ถือเป็นความลับสุดยอดที่ไม่ควรเปิดเผยออกไปเด็ดขาด เพราะมหาเทพจูเซียนนั้นมีศัตรูมากเกินไป
การที่เขาเลือกไม่บอกความจริงกับกงเสี่ยวเหมยในตอนแรก ก็เพราะคิดกีดกันเธอออกจากการต่อสู้ในอนาคต และคอยปกป้องคุ้มครองเธออย่างเงียบๆ
การใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา สร้างครอบครัวและให้กำเนิดบุตรหลาน เป็นเส้นทางที่มหาเทพจูเซียนเลือกให้กับลูกสาวของเขาเอง
ทั้งจ้าวเทียนและคังหลินก็มองออกถึงข้อนี้ พวกเขาจึงจงใจกีดกันกงเสี่ยวเหมยออกจากการต่อสู้และสงครามที่จะเกิดขึ้น
โดยการให้เธอใช้ชีวิตอย่างมีสงบสุขในพระราชวัง แล้วพอเรื่องทุกอย่างจบลง ก็ค่อยพาเธอกลับไปที่โลกภายนอกพร้อมกัน
แต่เพราะการปรากฏตัวของหยวนเทียนหลง และอาการบาดเจ็บของจ้าวเทียน ทำให้คังหลินต้องเปลี่ยนความคิดในที่สุด
‘ ถ้าไม่ติดที่ต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ฉันคงเลือกที่จะพูดคุยกับกงเสี่ยวเหมยไปตรงๆตั้งแต่เมื่อวานแล้ว’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน