หลังจากแสงสว่างอันเจิดจ้าจางหายไป ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจ้าวเทียนก็คือพระโพธิสัตว์ร่างทองขนาดใหญ่โตมโหฬารและทะเลเมฆกว้างไกลสุดสายตา
‘ เป็นโลกแห่งจิตวิญญาณอีกแล้วงั้นเหรอ รู้สึกว่าช่วงนี้ฉันจะได้เข้าในมาสถานที่แบบนี้บ่อยเหลือเกิน ’
จ้าวเทียนยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองพระอมิตาภพุทธด้วยความรู้สึกแปลกๆ เมื่อพบว่าตนเองยืนอยู่บนฝ่ามือขนาดใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม
ด้วยตัวเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องราวของตำนานอันโด่งดังบทหนึ่ง ครั้งที่ราชันวานรเห้งเจียขึ้นไปอาละวาดบนแดนสวรรค์ แล้วถูกดัดแปลงและเผยแพร่ลงมายังโลกมนุษย์
โดยเห้งเจียได้ถูกท้าทายว่า หากสามารถหนีจากฝ่ามือของพระยูไลได้ ก็จะได้ครองสวรรค์แทนเง็กเซียนฮ่องเต้ ซึ่งเห้งเจียเองก็รับคำท้า แล้วใช้ความสามารถในการตีลังกาได้ไกลกว่าหนึ่งแสนลี้ ร่วมกับเมฆวิเศษในการบินไปยังขอบฟ้าไกล
เมื่อถึงสุดปลายสวรรค์ก็พบกับเสาห้าต้น ทำให้นึกลำพองว่าตนเองเอาชนะพระยูไลได้แล้ว จนสามารถเดินทางมาถึงเสาเขตแดนที่เป็นจุดสิ้นสุดของแดนสวรรค์ จึงได้ประทับชื่อของตัวเองเอาไว้บนเสาเป็นหลักฐาน ทั้งยังปัสสาวะทิ้งกลิ่นไว้อีกด้วย
แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือนิ้วพระหัตถ์ของพระยูไลเอง เป็นอันว่าเห้งเจียพ่ายแพ้ให้กับพระยูไล และถูกฝ่ามือของพระยูไลกดทับลงบนภูเขาเพื่อเป็นการลงโทษถึงห้าร้อยปี จนกว่าจะมีพระธุดงค์จากเมืองใหญ่ผ่านมา หรือก็คือพระถังซัมจั๋งนั่นเอง
นี่คือเรื่องราวที่จ้าวเทียนเคยได้ยินมาก่อนที่จะขึ้นไปบนแดนสวรรค์ แต่ภายหลังจากที่เขาได้สอบถามจากท่านอาจารย์ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงไปทั้งหมด
เพราะครั้งนั้นเห้งเจียเปิดศึกกับแดนสวรรค์เพื่อช่วงชิงอำนาจ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด จนกระทั่งมหาเทพอวี่หวงตัดสินใจลงมือด้วยตนเอง และสามารถสยบเห้งเจียเอาไว้ได้ ก่อนที่พระยูไลจะปรากฏตัวขึ้นช่วยเหลือเห้งเจียกลับไป
ด้วยศึกในครั้งนั้น ที่ทำให้ทั่วทั้งจักรวาลรับรู้ถึงการคงอยู่ของแดนสุขาวดี ทั้งยังได้รู้ว่ามหาเทพอวี่หวงไม่ใช่ผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของจักรวาลตามที่เข้าใจ แต่ยังมีประมุขสูงสุดแห่งแดนสุขาวดีที่มีความแข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปเนิ่นนาน แดนสุขาวดีก็เก็บตัวเงียบไม่เคยยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวใดๆอีก ทั้งยังประกาศเจตนารมณ์มุ่งมั่นโปรดสัตว์เพื่อสั่งสมบุญบารมี ไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งภายนอก จึงค่อยๆถูกผู้คนลืมเลือนไปในที่สุด
“ ดวงวิญญาณของพระสกนั้นช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก อาตมาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเก่าแก่โบราณที่ข้ามผ่านกาลเวลาอันยาวนาน ซึ่งไม่อาจพบได้ในผู้ฝึกตนยุคสมัยนี้ ”
“ ฉันคิดว่า พวกเราควรมาพูดถึงเรื่องข้อตกลงกันดีกว่า พวกท่านมีจุดประสงค์อะไรถึงต้องการพบจักรพรรดิเทพบรรพกาลโฮ่วอี้ ” จ้าวเทียนรีบพูดตัดบทขึ้น เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายพยายามขุดคุ้ยความลับของตัวเอง
‘ จนกว่าจะรู้ว่าแดนสุขาวดีเป็นมิตรหรือศัตรู จะปล่อยให้พวกเขารู้เรื่องการย้อนเวลาของฉันไม่ได้เป็นอันขาด การเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์เรื่องราวในอดีตเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนเกินไป หากจัดการได้ไม่ดีอาจจะเพิ่มศัตรูที่แข็งแกร่งโดยไม่จำเป็น ’
เมื่อได้ยินประโยคคำถามของจ้าวเทียน แววตาของพระอมิตาพุทธก็ทอประกายเล็กน้อยแล้วจางหายไป ก่อนจะพูดขึ้น
“ ประสกไม่ต้องกังวล อาตมาเพียงต้องการเชิญประสกโฮ่วอี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อยืนยันเรื่องราวสำคัญบางอย่าง จากนั้นก็จะมอบหมายภารกิจบางประการให้กับเขา ” พระอมิตาภพุทธกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ด้วยกฎเกณฑ์ข้อบังคับเรื่องการรักษาศีล ทำให้วาจาของท่านเป็นความจริงแท้ทุกประการ ทั้งจ้าวเทียนและทั่วทั้งสามภพต่างก็รับรู้ถึงข้อนี้ดี จึงไม่จำเป็นต้องระแวงสงสัย
“ ท่านพอจะบอกรายละเอียดมากกว่านี้ได้หรือไม่ สถานที่แห่งนั้นคือที่ไหน รวมไปถึงภารกิจนั้นคืออะไร ” จ้าวเทียนต้องการรู้ข้อมูลให้มากขึ้นเพื่อประกอบการตัดสินใจ
ต่อให้อีกฝ่ายไม่มีได้เจตนาร้ายจริงๆ แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน การคงอยู่ของโฮ่วอี้มีความสำคัญกับทั้งตัวเขาและท่านอาจารย์มาก จะปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด
“ อาตมาต้องขออภัยด้วย ความลับนี้เกี่ยวพันถึงชะตากรรมของเอกภพ ตอนนี้ประสกยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รู้ ”
แววตาของจ้าวเทียนเปลี่ยนไปในทันที แวบแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องราวของเต๋าแห่งสวรรค์ และสงครามแย่งชิงสิ่งสืบทอดของมหาเทพผานกู่ แต่เมื่อลองวิเคราะห์ดูอย่างละเอียดก็พบว่าไม่น่าจะใช่เรื่องเดียวกัน
เนื่องจากเพราะเหตุการณ์ที่เขาได้รับรู้มาจากอนาคต ทั้งตอนที่โลกมนุษย์ถูกลบหายไป หรือศึกสงครามครั้งสุดท้ายที่ตัวเขาสิ้นชีพ ทางแดนสุขาวดีก็ไม่เคยยื่นมือยุ่งเกี่ยวมาก่อน
ผ่านไปสิบลมหายใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน