หากคู่ต่อสู้คือพระอมิตาภพุทธเพียงผู้เดียว จ้าวเทียนคิดว่าตนสามารถใช้พลังที่แท้จริงเอาชนะได้ไม่ยาก เนื่องจากอีกฝ่ายมีขอบเขตด้อยกว่าตนครึ่งขั้น
แต่ในเมื่อเพิ่มพระยูไลเข้ามาอีก สถานการณ์ก็พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะต่อให้จ้าวเทียนจะมั่นใจในตนเองขนาดไหน ก็ไม่กล้ารับมือกับพระโพธิสัตว์ระดับสูงถึงสององค์
โดยเฉพาะหนึ่งในนั้น เป็นพระยูไลซึ่งมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกับมหาเทพในยุคปัจจุบัน ศึกครั้งนี้ต่อให้ยังไม่ทันเริ่มสู้ ก็สามารถทำนายผลลัพธ์ออกมาได้ชัดเจน
‘ บัดซบ ฉันไม่น่าวู่วามตามอีกฝ่ายเข้ามาในโลกจิตวิญญาณเลย คราวนี้จะทำอย่างไรดี หากเรียกอาจารย์ปู่มาช่วย มันก็จะเป็นไปตามความต้องการฝ่ายตรงข้ามนะสิ ’
คงเป็นเพราะทุกครั้งที่เกิดการต่อสู้ในโลกแห่งจิตวิญญาณ จ้าวเทียนจะเป็นฝ่ายครองความได้เปรียบมาโดยตลอด
จนลืมนึกไปว่าเหตุผลที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ก็เพราะข้อจำกัดของมหาเทพผานกู่บนโลกมนุษย์ที่คอยกีดกันตัวตนสูงสุดไม่ให้ลงมา แต่ในโลกแห่งจิตวิญญาณนี้แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นพระยูไลหรือมหาเทพอวี่หวง ล้วนสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่
ทั้งคู่คือระดับจักรพรรดิที่แท้จริง แตกต่างจากผู้ที่ย้อนเวลามาจากอนาคตอย่างจ้าวเทียน และมหาเทพจูเซียนซึ่งเหลือเพียงเศษเสี้ยวดวงวิญญาณ ที่ได้แต่พึ่งพาพลังส่วนหนึ่งเมื่อครั้งยังอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิเทพ
ต่อให้ในอนาคตจ้าวเทียนจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ในปัจจุบันเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาเท่านั้น
ถ้าให้รับมือเทพโอซีริสกับเทพีอามาเทราสุพร้อมกันก็ยังพอสามารถทำได้ แต่ไม่ใช่กับพระยูไลและพระอมิตาภพุทธอย่างแน่นอน
“ ประสก โปรดสงบใจลงก่อนเถิด ”
พระยูไลเปล่งเสียงแห่งธรรมแผ่ไพรศาล มันได้ดังก้องกังวานเข้าไปในจิตวิญญาณของจ้าวเทียน ทำให้พลังทั้งหมดของเขาสลายไปพริบตาและถูกปิดกั้นโดยทันที
เพียงคำพูดประโยคเดียวของอีกฝ่ายก็แทบจะพิสูจน์ผลแพ้ชนะไปเรียบร้อยแล้ว…
“ ศิษย์สำนักดาราสวรรค์จ้าวเทียน ขอคารวะพระยูไล ไม่ทราบว่าท่านจะมา ทำให้เสียกิริยาไปบ้าง ได้โปรดให้อภัยด้วย ”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่ใช่เวลามามัวคิดว่าจะต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างไร แต่เป็นการคิดว่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร โดยยอมสูญเสียให้น้อยที่สุดซะมากกว่า
ที่ตรงหน้าจ้าวเทียน ถึงแม้พระยูไลจะอวตารร่างลงมามีขนาดเท่ามนุษย์ปกติ แต่สำหรับเขาแล้ว มันกลับให้ความกดดันยิ่งกว่าพระอมิตาภพุทธเป็นร้อยเท่า
โดยเฉพาะดวงเนตรแห่งปัญญา ที่สามารถมองผ่านอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของท่าน ทำให้จ้าวเทียนรู้สึกเหมือนความลับตนถูกปลดเปลื้องออกไปจนหมดสิ้น ไม่ต่างจากยืนเปล่าเปลือยต่อหน้าผู้คน
‘ มันคล้ายกับตอนที่ได้พบมหาเทพจูเซียนครั้งแรก ไม่ซิ มันยิ่งกว่าครั้งนั้นเสียอีก สมแล้วที่อีกฝ่ายได้ชื่อว่าเป็นตัวตนสูงสุดแห่งแดนพุทธ แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังดูด้อยกว่าครึ่งขั้น ’
เพราะไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของเต๋าแห่งสวรรค์ จึงไม่ถูกตั้งข้อจำกัดเรื่องอายุขัย จ้าวเทียนกล้าบอกเลยว่า
พระยูไลจะต้องบรรลุขอบเขตนี้มามากกว่าหนึ่งแสนปีอย่างแน่นอน เผลอๆท่านจะคงอยู่มาตั้งแต่การสร้างแดนสวรรค์ขึ้นใหม่เมื่อหนึ่งล้านปีก่อนเลยด้วยซ้ำ
ในเวลาเดียวกันที่โลกภายนอก
กระบี่ราชันสวรรค์ที่หลบซ่อนอยู่ในร่างจ้าวเทียนก็ได้ปรากฏออกมาลอยเหนือศีรษะเขาในพริบตา และปลดปล่อยมหามรรคาจักรพรรดิคุ้มกันจิตต้นกำเนิดวิญญาณของเขาไว้ ไม่ให้เนตรแห่งปัญญาอ่านความทรงจำได้
ตั้งแต่จ้าวเทียนได้บรรลุขอบเขตฟ้าดินแห่งกระบี่ อาวุธคู่กายเขาก็เหมือนผ่านการกลั่นหลอมขึ้นมาใหม่โดยเจตจำนงอันแรงกล้า มันได้กลายเป็นอาวุธที่มีชีวิตจิตใจสามารถสื่อสารกับเจ้าของได้ทุกเวลา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน