ภายใต้ความมืดมิดเบื้องหน้า จ้าวเทียนสัมผัสได้ถึงความตายที่กำลังใกล้เข้ามา เขาไม่กล้าขยับร่างกายแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น…
ดวงตาขนาดใหญ่สีแดงดั่งโลหิตก็เปิดออก…
ท่ามกลางความมืดมิด ภาพของดวงตาคู่นั้นเหมือนลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงแห่งการทำลายล้าง
ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นมันได้ชัดเจนแล้ว สิ่งที่กลืนกินอสรพิษยักษ์เข้าไป
มันคือ…มังกร
ใบหน้าขนาดใหญ่ของมันอยู่ห่างจากตัวเขาไม่ถึง 10 เมตร เขาสามารถมองเห็นลวดลายบนเขาทั้งคู่ของมันได้อย่างชัดเจน
แววตาของมันจ้องมาทางเขาอย่างเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่หัวอันใหญ่โตของมันจะถอยกลับหายเข้าไปในความมืดอีกครั้ง
‘ คงเป็นเพราะว่า…ตัวฉันในตอนนี้แทบจะไม่เหลือพลังแล้ว เลยไม่มีค่าพอให้มันสนใจ ’
จ้าวเทียนค่อยๆถอยเข้าไปในช่องทางออกอย่างช้าๆ แต่เขาก็ไม่ได้ลดความตื่นตัวลงเลย เพราะมังกรทุกตัวเคลื่อนไหวตามอารมณ์ของตนเอง
ถ้าไปแสดงอะไรที่เหมือนเป็นการยั่วยุมันเข้า มันก็พร้อมจะฆ่าเขาทันที
เพียงแค่มันปลดปล่อยเปลวเพลิงอันน่าหวาดกลัวออกมาเพียงเล็กน้อย ตัวเขาก็คงกลายเป็นฝุ่นในเสี้ยววินาที
ผ่านไป 30 นาที
ตอนนี้จ้าวเทียนกำลังว่ายน้ำกลับขึ้นไปด้านบนด้วยความรวดเร็ว เพราะตัวเขาเองก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงสิ่งต่างๆที่ได้พบด้านล่าง เขาก็สามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในที่สุด
เริ่มจากอักขระบนเสาหินอันนั้น มันเป็นภาษาในยุคแรกเริ่มของแดนสวรรค์โบราณ ถูกใช้สร้างเป็นเขตอาคมผนึกมังกรตัวนี้เอาไว้
หญ้าโลหิตมังกรพวกนั้น ก็เกิดมาจากเลือดของมังกรที่ไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่ถูกเสาหินขนาดใหญ่ปักทะลุลงไป
ตลอดเวลาที่อยู่ด้านล่างนั้น เขาเดินเหยียบอยู่บนตัวของมังกรมาโดยตลอด สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นแผ่นโลหะ แท้จริงแล้วคือเกล็ดของมัน
ส่วนอสรพิษยักษ์คงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากด้านล่างนั้น เพราะได้รับออร่าจากมังกรที่แท้จริงมานาน ทำให้มันมีวิวัฒนาการจนได้รับสายเลือดมังกร
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มันกินหญ้าโลหิตมังกรได้โดยที่ไม่เป็นอะไร และสิ่งมีชีวิตอื่นๆก็คงถูกมันกินเข้าไปด้วยเช่นกัน
มังกรที่มีดวงตาสีแดงดุจโลหิต เท่าที่เขาเคยศึกษาค้นคว้ามาตอนอยู่บนแดนสวรรค์ มันคือมังกรมารแห่งแดนอเวจี ซึ่งได้ถูกสังหารจนหมดสิ้นไปแล้วในสงครามครั้งสุดท้ายของแดนสวรรค์โบราณ
‘ ฉันไม่นึกว่าจะได้มาเจอมังกรมารอเวจีที่นี่…ดูจากขนาดตัวของมันคงยังไม่เติบโตเต็มที่ เพราะขนาดตัวของมังกรมารที่โตเต็มวัยนั้นจะใหญ่กว่านี้เป็นร้อยเท่า ’
‘ หลังจากที่หลับใหลมานาน มันคงจะตื่นขึ้นเพราะการโจมตีสุดกำลังของฉัน ’
ตอนนี้จ้าวเทียนเองก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง เพราะเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้มันตื่นขึ้นมา หากมังกรมารตัวนี้หลุดจากผนึกไปได้
โลกนี้คงจบสิ้นแน่นอน…
มังกรแท้จริงนั้นจะมีพลังขอบเขตแดนเทพตั้งแต่เกิด และจะค่อยๆเพิ่มขึ้นตามอายุ จากที่เขาประเมินดู มังกรมารตัวนี้น่าจะอยู่ในขอบเขตแม่ทัพเทพเป็นอย่างน้อย
ส่วนขีดจำกัดของโลกใบนี้เป็นเพียงขีดสุดของปราณนภาเท่านั้น มันยังห่างจากมังกรมารถึงหกขั้นเลยทีเดียว
‘ เอาไว้ตอนที่ฉันอยู่ในจุดสูงสุดของโลกใบนี้…ค่อยลงมาที่นี่อีกที ’
ซ่า!
จ้าวเทียนพุ่งตัวขึ้นมาจากบ่อน้ำเรียบร้อย
“ หลานไม่เป็นอะไรใช่ไหม ” เหยียนซืออู่ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ ผมไม่เป็นไรครับ…ได้รับบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น ” จ้าวเทียนรีบตอบขึ้น
เมื่อเขามองเห็นเสื้อผ้าของท่านตา มีร่องรอยเปียกน้ำ ก็พอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ จึงรีบขยับร่างกายให้ดูว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร
หลังจากที่จ้าวเทียนได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้านล่างแล้ว เขาก็ได้มอบหญ้าโลหิตมังกรให้ท่านตาใช้รักษาพิษ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับไปด้วยความยินดี
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หลังจากที่เหยียนซืออู่กินหญ้าโลหิตมังกรเข้าไป พิษมารกร่อนกระดูกที่ทรมานเขามานานกว่าแปดปีก็ถูกขจัดไปหมดสิ้น
“ ท่านตาจะตามผมกลับไปพร้อมกันเลยไหมครับ ” จ้าวเทียนถามขึ้น
“ วันนี้ตาคงกลับไปพร้อมหลานไม่ได้…ต้องใช้เวลาฟื้นฟูประมาณสองวัน ตาถึงจะอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด ไม่เช่นนั้นหากโดนศัตรูของตาใช้สัมผัสวิญญาณตรวจพบเข้า อาจจะเกิดการต่อสู้กันได้ ” เหยียนซืออู่อธิบาย
จ้าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็แสดงท่าทางเข้าใจ เมื่อผู้ฝึกตนอยู่ในขอบเขตปราณนภานั้นจะสามารถใช้สัมผัสวิญญาณค้นหาตรวจสอบรัศมีโดยรอบได้
ถ้าให้เปรียบเทียบมันก็คล้ายกับเรามองจอเรด้าขนาดใหญ่
ซึ่งถ้าหากเป็นคนปกติไม่มีพลังก็จะมองเห็นเป็นจุดสีดำ
หากเป็นผู้ฝึกตนยิ่งมีขอบเขตที่สูง ดวงแสงจะยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนผู้ฝึกตนที่อยู่ในขอบเขตปราณนภานั้น จะเห็นเป็นดวงแสงขนาดใหญ่มีรัศมีเป็นชั้นๆ ดูโดดเด่นจนสังเกตได้ทันที
“ ถ้าอย่างนั้นท่านตารับโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้…หากเกิดอะไรขึ้นจะได้ติดต่อผมได้ ” จ้าวเทียนส่งโทรศัพท์มือถือที่เขาเตรียมมาให้กับเหยียนซืออู่
นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดว่าจำเป็นอย่างมาก เพราะท่านตาหลังจากออกมาจากสำนักโบราณเกิดได้รับบาดเจ็บจนต้องรักษาตัวอยู่ที่นี่ตลอด
จากที่เขาลองถามดู ท่านไม่ได้สัมผัสการใช้ชีวิตในโลกภายนอกมาเกือบ 30 ปีแล้ว หากปล่อยท่านเอาไว้คนเดียวคงจะน่าเป็นห่วง ถ้ามีโทรศัพท์อยู่ก็ยังสามารถพูดคุยกันได้
หลังจากที่สอนวิธีใช้งานให้ท่านตาเสร็จ ก็ได้พูดคุยถึงเรื่องแผนการต่างๆที่เขาวางเอาไว้ หลังจากนั้นจ้าวเทียนก็กลับไปหาพวกลี่เหยาเหยาคนเดียว
“ เย้…อาจารย์กลับมาแล้ว ” โม่ปิงหยูวิ่งมาหาจ้าวเทียนด้วยความดีใจ เพราะจ้าวเทียนหายไปนานเกือบ7ชั่วโมงแล้ว
“ นายจัดการเรื่องผู้อาวุโสเหยียนเรียบร้อยแล้วเหรอ ” ลี่เหยาเหยาถามขึ้น เพราะจ้าวเทียนได้เล่าเรื่องของเหยียนซืออู่ให้เธอฟังตอนอยู่บนเครื่องบิน
“ เรียบร้อยแล้วล่ะ…ท่านตาของฉันคงจะตามมาในอีกสองวัน ” จ้าวเทียนตอบด้วยท่าทีผ่อนคลาย ตอนนี้ปัญหาที่รบกวนจิตใจเขาก็หมดไปอีกเรื่อง
“ เมื่อกี้มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณรึเปล่า…ฉันสัมผัสได้ถึงพลังของพวกเผ่ามาร ” เทพธิดาถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
จ้าวเทียนเห็นดังนั้นจึงเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังตอนที่เดินทางกลับ
เช้าวันถัดมา
หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกลมปราณประจำวัน จ้าวเทียนก็ได้แนะนำการฝึกตนให้โม่ปิงหยูอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วจึงเข้ามานั่งทานข้าวพร้อมกับทุกคน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน