การมาเยือนของเหล่าพระโพธิสัตว์แห่งแดนสุขาวดี ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไปทันที ไม่เว้นแม้แต่หลินซินเยว่ที่ถึงกับส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา
‘ แดนสุขาวดีงั้นรึ ดูท่าเรื่องนี้คงจะยุ่งยากอยู่บ้าง ’
เดิมทีหลินซินเยว่คิดว่า อีกฝ่ายจะขอความช่วยเหลือจากวังสวรรค์สูงสุดในฐานะที่เป็นราชันผู้ปกครองเก้าท้องฟ้าสิบแผ่นดิน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆเธอก็ไม่รู้สึกกังวลแม้แต่น้อย
เนื่องจากมหาเทพอวี่หวงได้ลั่นวาจาเอาไว้ให้สงบศึกกันเป็นระยะเวลาสามปี อันว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ อีกทั้งเรื่องนี้ทั่วจักรวาลต่างรับรู้ มหาเทพอวี่หวงคงไม่กล้าละเมิดข้อตกลงให้เสื่อมเสียชื่อเสียงแน่นอน
แวบ!
เมื่อลำแสงสีทองสาดส่องเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในที่สุดรูปลักษณ์แท้จริงของกลุ่มผู้มาเยือนก็ประจักษ์ชัดต่อสายตาทุกคน
เป็นพระโพธิสัตว์ระดับสูงหกองค์ บ้างขี่สิงโต ช้าง สุนัข บ้างยืนเหยียบอยู่บนหลังนกอินทรีย์ กระเรียน หรือแม้กระทั่งเต่ายักษ์ ทั้งสัตว์พาหนะและเจ้าของล้วนมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพโลกาขั้นเก้าทั้งสิ้น
“ เหอะๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับแดนสุขาวดี ถึงขั้นยอมแหกกฎมอบสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ของบรรพชน ให้เหล่าพระโพธิสัตว์นำไปใช้ยืดอายุขัยและยกระดับความแข็งแกร่งสัตว์พาหนะคู่ใจเลยงั้นรึ เซียวหมิงเทียนช่างมองการณ์ไกลจริงๆ ”
ราชันเทพโอดินพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ เพราะในอดีตตัวเขาก็เคยมาขอแลกเปลี่ยนโลหิตบรรพชนเผ่าสัตว์อสูรเทวะกับสมบัติล้ำค่าในตำนาน แต่ก็ถูกปฏิเสธโดยอีกฝ่ายใช้ข้ออ้างว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่อาจฝ่าฝืน
และถ้าให้พูดกันตามตรง ดูจากสีหน้าไม่สบอารมณ์ของบรรดาผู้ยิ่งใหญ่เกือบครึ่งที่อยู่ตรงนี้แล้ว เชื่อได้เลยว่าคงมีประสบการณ์ไม่แตกต่างจากราชันเทพโอดินนัก ล้วนถูกปฏิเสธโดยเซียวหมิงเทียนทั้งสิ้น
แวบ!
ร่างแท้จริงของอดีตจักรพรรดิเซียวหมิงเทียน เซียวกงกง และผู้นำสามตระกูลใหญ่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง พวกเขาลอบสังเกตท่าทีของหลินซินเยว่อย่างระมัดระวัง จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าเธอไม่คิดโจมตีเข้ามา ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วรีบไปให้การตอนรับเหล่าพระโพธิสัตว์ทันที
ส่วนจักรพรรดิเซียวหยูกับฮองเฮานั้น ไม่กล้าที่จะออกมาด้านนอกเขตอาคมป้องกันของโลกทิพย์ เพราะกลัวหลินซินเยว่จะลงมือตามที่ได้ประกาศไว้ตอนแรก
“ ในนามของตระกูลจักรพรรดิเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร ข้าต้องขอขอบคุณทุกท่านจริงๆที่สละเวลาอันมีค่ามาช่วยเหลือในครั้งนี้ ”
“ อามิตาพุทธ ประสกไม่ต้องเกรงใจไป เพราะพวกอาตมาเองก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากประสกมาก่อน นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ชดใช้หนี้บุญคุณให้หมดสิ้น จะได้ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก ” หนึ่งในพระโพธิสัตว์ตอบขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ ว่าแต่พวกท่านมีกันเพียงเท่านี้รึ ยังมีผู้ใดที่มาไม่ถึงหรือเปล่า ” เซียวกงกงถามออกมาท่าทีเคร่งเครียด
เนื่องจากจำนวนกำลังเสริมมันน้อยกว่าที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้มาก โดยเฉพาะผู้ที่อยากให้ปรากฏตัวจริงๆกลับไม่เห็นแม้แต่เงา
“ ประสกคงหมายถึงเห้งเจียใช่ไหม น่าเสียดายที่เขาติดภารกิจสำคัญเลยออกมาช่วยเหลือประสกไม่ได้ ” พระโพธิสัตว์องค์เดิมพูดขึ้นอย่างรู้ทัน เนื่องจากช่วงก่อนที่เห้งเจียจะขึ้นไปอาละวาดบนแดนสวรรค์ ก็เคยเป็นราชันวานรปกครองหุบเขาในโลกทิพย์อสูรมาก่อน
“ เห้งเจียมาไม่ได้งั้นรึ ” เซียวหมิงเทียนสีหน้าหมองคล้ำทันที ก่อนจะถามขึ้นต่อ
“ แล้วพระโพธิสัตว์ตี้จั้งหวังล่ะ ท่านมาได้หรือเปล่า… ”
สิ้นเสียง ก็ได้มีเปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโชนขึ้นจากความว่างเปล่า มันได้หลอมละลายกำแพงที่ปิดกั้นห้วงมิติแห่งนรกภูมิจนเกิดเป็นช่องว่างขนาดใหญ่
“ อามิตาพุทธ อาตมาแล้ว ”
ที่ตรงเบื้องหน้าหลินซินเยว่ ได้มีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งปรากฏกายขึ้น ท่านสวมจีวรสีแดงดุจเปลวเพลิง ยืนอยู่บนดอกบัวร้อยกลีบโดยมีสุนัขสีขาวตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ข้างๆ
ทั้งรัศมีแห่งพุทธะและกลิ่นอายความแข็งแกร่งของพระโพธิสัตว์ท่านนี้ ล้วนเหนือกว่าพระโพธิสัตว์หกองค์แรกที่มาถึงก่อนหน้าอย่างเทียบกันไม่ติด
นี่คือพระโพธิสัตว์ตี้จั้งหวังหรือพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์เพียงหนึ่งเดียวที่สถิตอยู่ในนรกโลกันตร์ เนื่องจากมีมหาปณิธานว่า
“ตราบใดที่ยังมีวิญญาณหลงเหลือในนรกภูมิ แม้เพียงหนึ่ง ท่านจะมิทรงเข้าสู่พุทธภูมิ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน