เมื่อกำแพงป้องกันโลกมนุษย์ถูกทำลาย มันก็ได้ส่งสัญญาณแจ้งเตือนดังไปทั่วทั้งโลก ทำให้ปุถุชนคนธรรมดาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว เหล่าสรรพสัตว์พากันซ่อนกายหลบหนีเอาตัวรอด
ครืนนน!
บนท้องฟ้าได้ปรากฏรอยแยกขนาดใหญ่มองเห็นความดำมืดของจักรวาล ก่อนจะมีเงาร่างสีทองนับหมื่นนับแสนบุกทะลวงเข้ามาอย่างดุดัน
แวบ!
ภาพนิมิตของปรากฏการณ์นี้ได้ถูกแสดงอยู่เหนือท้องฟ้าทั่วโลก ไม่ว่าจะอยู่ประเทศอะไรหรือสถานที่ห่างไกลแค่ไหน ขอเพียงเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ก็ล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ทหารสวรรค์แต่ละนายมีขนาดตัวสูงใหญ่เท่ากับตึกสิบชั้น สวมใส่ชุดเกราะสีทองเงาวับเปล่งประกายเจิดจ้า ความกดดันที่พวกเขาปลดปล่อยออกมา ทำให้สิ่งมีชีวิตหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ
นี่คือออร่าสะกดข่มของเผ่าพันธุ์เทพ ซึ่งยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารและเป็นเผ่าพันธุ์ผู้ปกครองที่แท้จริงแห่งจักรวาล
ถึงแม้รัฐบาลแต่ละประเทศจะมีการประกาศเตือนล่วงหน้า แต่ก็ยังเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นตามสถานที่พักอาศัยของประชาชนอยู่ดี เพราะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นกองทัพเทพสวรรค์มากมายหลายแสน ฉีกเปิดท้องฟ้าลงมากับตาตัวเอง
“ องค์มหาเทพมีบัญชา โลกมนุษย์ที่ถูกครอบครองโดยกลุ่มเซียนชั่วร้าย ย่อมนำหายนะมาสู่ทุกเผ่าพันธุ์ในจักรวาล ซึ่งหนทางเดียวที่จะป้องกันภัยพิบัติในอนาคตได้ ก็มีแต่ต้องกำจัดต้นตอแห่งเภทภัยเท่านั้น”
“ ทัพสวรรค์ทั้งหมด จงตามข้าไปสังหารศัตรู! ”
ขุนพลน้อยแห่งทัพสวรรค์ ประกาศความชอบธรรมออกมาตามธรรมเนียมก่อนเริ่มสงคราม เขาคืออัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งในกองทัพสวรรค์ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากขุนพลเทพนาจาให้เป็นผู้นำปฏิบัติภารกิจกวาดล้างในครั้งนี้
“ ข้าขออุทิศชีวิต เพื่อวังสวรรค์สูงสุด ”
“ ทำลายประตูเซียน แล้วสังหารพวกมันให้หมด ”
“ แต้มผลงานต้องเป็นของข้า ”
ทหารสวรรค์ทั้งห้าแสนนายร้องตะโกนขึ้นเสียงดัง แววตาของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่ง ทั้งอยากได้ชื่อเสียงยศถาบรรดาศักดิ์และต้องการแก้แค้นให้กับสหายที่ถูกจ้าวเทียนสังหาร
สำหรับข่าวลือเรื่องความแข็งแกร่งเกินจริงของฝ่ายตรงข้าม พวกเขาไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงแม้แต่น้อย เหมือนดังสำนวนที่ว่าโคหนุ่มไม่กลัวพยัคฆ์ ตราบใดที่ยังไม่ได้ลองต่อสู้วัดสูงต่ำกัน พวกเขาก็ไม่มีทางยอมรับว่าตนเองด้อยกว่าแน่นอน
โดยเฉพาะขุนพลน้อยแห่งทัพสวรรค์ ที่ถือกำเนิดมาจากตระกูลชั้นสูง ทุกครั้งที่ผู้อาวุโสในตระกูลบอกเล่ายกยอถึงความแข็งแกร่งของจ้าวเทียน ในใจของเขาก็รู้สึกต่อต้านเป็นอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่าย พึ่งพาการสนับสนุนจากจักรพรรดินีหลินซินเยว่จนมีชื่อเสียงโด่งดัง ส่วนเรื่องที่สังหารราชันเทพโอดินก็เป็นเพราะจิตวิญญาณอาวุธระดับพระเจ้า ไม่ได้อาศัยความสามารถของตัวเอง
‘ อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งยุค ที่สามารถบรรลุเต๋าเป็นคนแรกในห้าหมื่นปีงั้นรึ หากข้าไม่ต้องถูกเกณฑ์เข้ากองทัพหลายสิบปี ก็คงทำได้เหมือนกัน ’
ขุนพลน้อยคิดขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ครั้งนี้พวกตนมีจำนวนมากกว่าอีกฝ่ายนับหมื่นเท่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขอบเขตฝึกตนที่สูงกว่าหนึ่งขั้นใหญ่ ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว
“ บอสครับ ผมขอจัดการแม่ทัพฝ่ายศัตรูเองได้ไหม พอดีเห็นหน้ามันแล้วรู้สึกคันไม้คันมือชอบกล ” เฉินจิ้งพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา เขาหงุดหงิดตั้งแต่เรื่องคำประกาศของอีกฝ่ายแล้ว
“ ระวังตัวด้วย อย่าปล่อยให้ตัวเองถูกล้อมเด็ดขาด ” จ้าวเทียนพูดเตือนอย่างจริงจัง ที่เขาไม่ห้ามก็เพราะอยากดูพัฒนาการของเฉินจิ้งเช่นกัน เพราะได้ข่าวว่าเฉินจิ้งปลุกสายเลือดมังกรมารอเวจีถึงขั้นสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว
“ รับทราบ ” สิ้นเสียง เฉิ้นจิ้งก็กระโดดขึ้นไปบนฟ้า เพื่อเปลี่ยนร่างเป็นมังกรมารอเวจีขนาดมหึมายาวนับหมื่นเมตร แล้วพุ่งทะยานเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามทันที
“ พวกเธอก็ไปเถอะ เรื่องคุ้มกันประตูเซียนปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันกับเหยาเหยาเอง ” จ้าวเทียนหันไปบอกกับคนอื่นๆ
ยกเว้นโม่ปิงหยูที่ต้องกางเขตแดนแห่งชีวิตสนับสนุนอยู่ด้านนอก เหล่าหญิงสาวที่เหลือต่างจับกลุ่มเข้าเผชิญหน้ากับกองทัพฝ่ายตรงข้ามตามที่ได้วางแผนไว้
“ เพลิงนรกอเวจีขั้นสูงสุด! ”
ก๊าซซ! บูมมมมมม!
เฉินจิ้งอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีดำระเบิดใส่ศัตรูเป็นวงกว้าง ปกคุมอาณาเขตหลายพันกิโลเมตร ย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีดำด้วยพิษร้ายแห่งห้วงอเวจี
และยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะพวกโม่ซินหยานทั้งยี่สิบเอ็ดคนที่อยู่ในร่างครึ่งอสูรคิเมียร่า ก็เปลี่ยนเป็นเงาไปโผล่ด้านหลังกองทัพศัตรู แล้วใช้ท่าไม้ตายปลดปล่อยควันพิษร้ายออกมาพร้อมกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน