ณ สนามรบเทพมารบรรพกาล
ย้อนกลับไปไม่กี่นาทีก่อน เมื่อตราผนึกนับแสนถูกกระตุ้น เขตอาคมปิดกั้นห้วงมิติขนาดเท่ากับหนึ่งกาแล็กซีก็ได้ปรากฏขึ้นมา นี่คือพื้นที่ทำสงครามเพื่อแย่งชิงตำแหน่งมหาเทพ ของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม
ซึ่งนอกจากตัวแทนมหาอำนาจต่างๆที่มาเป็นสักขีพยานแล้ว จะไม่อนุญาตให้มีกองกำลังฝ่ายอื่นเข้ามาแทรกแซงเป็นอันขาด
ส่วนเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้ ก็เพราะในอดีตเคยมีเหตุการณ์ที่พื้นที่สงครามรุกรามแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้างจนควบคุมไม่ได้
ส่งผลให้เกิดหายนะใหญ่หลวง ต่อสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในดาราจักรข้างเคียง สุดท้ายเมื่อทุกอย่างจบลง ดาวเคราะห์เกือบทั้งหมดก็หลงเหลือเพียงเศษซาก อารยธรรมชั้นสูงนับล้านล่มสลาย ซึ่งถือเป็นมหาภัยพิบัติสูญสิ้นเผ่าพันธุ์อย่างแท้จริง
“ ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ”
“ ปืนใหญ่เรือรบประจัญบาน ยิงได้! ”
“ รีบเปิดใช้ค่ายกลเทพสังหาร เร็วเข้า ”
กองกำลังทั้งสามฝ่ายได้เปิดศึกเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด ทั้งเรือรบสงครามระหว่างดวงดาว อาวุธเวทมนต์ทำลายล้างต่างๆ หรือแม้กระทั่งค่ายกลต้องห้ามยุคโบราณ ก็ล้วนได้รับอนุญาตให้นำมาใช้อย่างเต็มที่ ไม่มีกฎข้อห้ามใดๆทั้งสิ้น
เนื่องจากเป็นสงครามขนาดใหญ่ ที่มีผู้ฝึกตนเข้าร่วมมากมายหลายร้อยล้านคน จึงไม่มีใครกล้าใช้ร่างทิพย์ขนาดยักษ์เข้าต่อสู้ เพราะไม่ต้องการดึงดูดความสนใจและตกเป็นเป้าหมาย ให้อาวุธสังหารอันน่าสะพรึงกลัวของฝ่ายตรงข้าม
“ หลินซินเยว่ จูเซียน ดูเหมือนกองทัพของพวกเจ้าจะประสานงานกันไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่นะ ไม่เชื่อใจกันเองงั้นเหรอ หรือแบ่งปันผลประโยชน์ไม่ลงตัว ” มหาเทพอวี่หวงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน มีเจตนายุยงให้แตกแยกอย่างชัดเจน
ตอนนี้จักรพรรดิเทพทั้งสาม ได้สำแดงร่างทิพย์สิบตะวันลอยเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือสนามรบ เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมขวัญกำลังใจให้กองทัพฝ่ายตน ราวกับเป็นดวงประทีปอันเจิดจรัสท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี
อย่าได้เห็นว่า มหาเทพอวี่หวงกำลังเผชิญหน้ากับสองจักรพรรดิเทพตามลำพัง เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าพระยูไลได้มาถึงแล้ว เพียงแค่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในมิติภพภูมิอื่นก็เท่านั้น
ปัจจุบันตัวตนสูงสุดทั้งสี่กำลังเฝ้าคุมเชิงกันเองอยู่ มหาเทพจูเซียนกำหนดเป้าหมายไปที่มหาเทพอวี่หวง ส่วนจักรพรรดินีหลินซินเยว่ก็กำลังใช้เคล็ดวิชาอนุมาน ค้นหาสถานที่ซ่อนตัวของพระยูไล
ขอเพียงมีใครกล้าเคลื่อนไหวก่อน อีกสามคนที่เหลือก็จะปลดปล่อยกระบวนท่าสังหารออกไปทันที ดังนั้นถ้าสถานการณ์ไม่เลวร้ายถึงที่สุดจริงๆ ก็จะไม่มีผู้ใดคิดลงมือแทรกแซงสงครามเบื้องล่างแน่นอน
“ หึหึ อวี่หวง เจ้าอย่าได้ใช้แผนการต่ำๆแบบนี้กับพวกข้าเลย มันไม่มีประโยชน์หรอก ” มหาเทพจูเซียนตอบกลับไปอย่างเฉยชา พร้อมกับจ้องมองกองทัพตนเองกำลังถูกศัตรูกดดันให้ล่าถอยไปทางสำนักดาราสวรรค์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
มหาเทพจูเซียนสัมผัสได้ว่าภายในกองทัพตัวเอง มีสายลับของวังสวรรค์แฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ตำแหน่งค่ายกลสังหารและแผนการรบ แพร่กระจายออกไปก่อนสงครามจะเริ่ม ด้วยเหตุนี้เองจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่ต้นอย่างที่เห็น
ต้องไม่ลืมว่านิกายจูเซียนได้หายสาบสูญไปเกือบหมื่นปีแล้ว ต่อให้ผู้นำขุมอำนาจหรือเจ้าสำนักนิกายบางส่วน จะยังมีความจงรักภักดีให้เจ้านายเก่าอยู่ แต่คณะผู้อาวุโสและสมาชิกระดับสูงบางคนอาจไม่คิดเห็นตรงกันก็ได้
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก…ที่พวกเขาเหล่านั้นจะถูกดึงดูดโดยผลประโยชน์จากฝ่ายตรงข้าม
“ หลินซินเย่ หากเจ้ายอมแพ้ในศึกนี้ ข้าอาจจะเมตตาไว้ชีวิตลูกศิษย์เจ้าก็ได้นะ ไม่ลองเก็บเอาไปคิดดูหน่อยรึ ” มหาเทพอวี่หวงจงใจพูดกระตุ้นอีกครั้ง เพื่อรบกวนสมาธิฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ใช้เคล็ดวิชาอนุมานค้นหาตัวพระยูไล
“ เหอะ ดูเจ้าจะมั่นใจเหลือเกินนะ ไม่กลัวหน้าแตกเหมือนครั้งที่ผ่านๆมารึ ” มหาเทพจูเซียนพูดแทรกขึ้น เนื่องจากเคยได้ยินว่า มหาเทพอวี่หวงเคยพลาดท่าเสียทีให้จ้าวเทียนมาสามครั้งแล้ว
“ นี่เจ้า อย่าอวดดีให้มันมากนัก ” มหาเทพอวี่หวงกัดฟันพูดขึ้นด้วยความโกรธ
“ ทำไมล่ะ โกรธงั้นรึ พ่ายแพ้ให้มนุษย์คนเดิมถึงสามครั้ง เจ้าคงเป็นมหาเทพที่น่าสมเพชที่สุด นับตั้งแต่ที่ได้มีการก่อตั้งแดนสวรรค์มาแล้วล่ะ ” มหาเทพจูเซียนพูดเยาะเย้ยฝ่ายตรงข้ามออกมาเสียงดัง
เรื่องทำนองนี้ผู้ฝึกตนซึ่งถือกำเนิดจากโลกมนุษย์อย่างเขา ย่อมเชี่ยวชาญกว่าเทพที่มีชาติกำเนิดสูงส่งบนแดนสวรรค์แน่นอน
“ จงหุบปากไปซะ มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเงียบเอง ” มหาเทพอวี่หวงชักกระบี่ออกมาในพริบตา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ ก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดเสียก่อน
“ ขวานเบิกพิภพ! ”
เสียงคำรามเกรี้ยวกราดจากยุคบรรพกาล ได้ข้ามผ่านห้วงเวลาอันเป็นนิรันดร์ จนดังก้องสะเทือนไปทั่วทั้งจักรวาล ทำให้สงครามอันดุเดือดต้องหยุดชะงักลงครู่หนึ่ง เนื่องจากทุกคนเกิดตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ กลิ่นอายดุดันแบบนี้ ไม่ผิดแน่ ” มหาเทพอวี่หวงหน้าซีดขาว รีบฉีกเปิดเขตอาคมปิดกั้นมิติเพื่อตรวจสอบสถานการณ์บนโลกมนุษย์อย่างร้อนรน
ครืนนน!
รอยแยกมิติขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้น เปิดโอกาสให้เหล่าผู้แข็งแกร่งทั้งหมดได้ส่งเจตจำนงออกไปสอดแนมโลกมนุษย์
“ ร่างจำแลงมหาเทพผานกู่! ”
“ ประตูเซียนจักรพรรดิถูกทำลาย! ”
!!
“ บัดซบ! มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร ” มหาเทพอวี่หวงร้องตะโกนอย่างเดือดดาล พร้อมทั้งรีบแทงกระบี่ออกไปทันที
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่ทางยอมให้จ้าวเทียนได้รับแก่นแท้ต้นกำเนิดพลังฟ้าดินหนึ่งหมื่นปีของสะพานสวรรค์เด็ดขาด
ทันใดนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน