ณ จุดสูงสุดของภูเขาจักรวาล ตำแหน่งซึ่งเคยเป็นที่ตั้งวิหารเทพเจ้าสูงสุดบัดนี้กลับหลงเหลือเพียงเศษซาก มองเห็นแสงกระบี่มากมายสุดคณานับปกคลุมฟ้าดิน และภาพลวงตาของเจ็ดอสูรร้ายบรรพกาลตรงเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด
เปรี้ยงงง ๆๆๆๆๆ ตูมมม!ๆ
“ จ้าวเทียน จงส่งมอบต้นไม้เอกภพคืนมาซะ มิเช่นนั้น ข้าจะสังหารทุกคนที่เจ้ารัก ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสร้างมาให้หมดสิ้น ” จูเก้อหมิงพูดขึ้นอย่างเย็นชา ในใจเขารู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ที่โดนอีกฝ่ายชุบมือเปิบแย่งชิงสมบัติล้ำค่าไปในตอนท้าย
“ พอเอาชนะฉันไม่ได้ ก็ใช้วิธีข่มขู่แทนงั้นเหรอ แกมีศักดิ์ศรีบ้างหรือเปล่า ” จ้าวเทียนพูดตอบกลับด้วยความโกรธ ก่อนจะใช้เต๋ากระบี่และหัตถ์ราชันดับตะวันทำลายภาพลวงตาอสูรร้ายทั้งหมด
วูป!ๆๆๆ
จูเก้อหมิงเรียกดวงวิญญาณเหล่าผู้แข็งแกร่ง ที่เขาเคยสังหารไปในอดีตออกมาช่วยสู้อีกครั้ง ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงอาวุธเวทย์ขั้นสูงสุดและเครื่องรางอาคมโจมตีมากมาย ราวกับมีให้ใช้งานไม่หมดไม่สิ้น
“ บัดซบ หัวขโมยสารเลวอย่างเจ้า มีสิทธิ์มาพูดเรื่องศักดิ์ศรีด้วยงั้นรึ ”
“ แกซิ หัวขโมย ก็บอกไปแล้วว่าของสิ่งนั้นมันเลือกฉันเป็นเจ้าของเอง ฉันยังไม่ทันลงมือแย่งชิงเลยด้วยซ้ำ ” จ้าวเทียนรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก เพราะเดิมทีเขาอุตส่าห์เตรียมการผนึกฝ่ายตรงข้ามไว้ในสนามพลังแห่งกาลเวลา
แต่ใครเล่าจะคิด ว่าเมื่อทั้งสองฝ่ายบุกฝ่าอาณาเขตสนามพลังไปถึงครึ่งทาง อยู่ดีๆต้นไม้เอกภพพร้อมกระถางสำริด จะลอยหายเข้าไปอยู่ในพื้นที่จิตวิญญาณของจ้าวเทียนซะอย่างนั้น
สุดท้าย เมื่อสนามพลังหยุดทำงานไปเอง การต่อสู้จึงเกิดขึ้นโดยที่ทั้งจ้าวเทียนและจูเก้อหมิงไม่มีโอกาสได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย
“ หุบปากซะ สมบัติล้ำค่าในตำนานเช่นต้นไม้เอกภพ จะเลือกผู้อ่อนแออย่างเจ้าเป็นนายได้อย่างไร ” จูเก้อหมิงตะโกนใส่อีกฝ่ายอย่างเดือดดาล
สิ่งที่จูเก้อหมิงพูดออกมาก็เป็นเรื่องจริงครึ่งหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ต่อสู้ ขอบเขตพลัง หรือความสามารถในการควบคุมกฎเกณฑ์ เขาก็เหนือกว่าอีกฝ่ายทุกด้าน
ซึ่งเหตุผลข้อเดียว ที่จ้าวเทียนยังอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้ ก็เพราะอานุภาพของสมบัติโกลาหลแม่น้ำเต๋าเพียงเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นต้นกำเนิดพลังไร้สิ้นสุด หรือม่านพลังป้องกันอันแข็งแกร่งของมัน ก็ล้วนสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบ และมอบความกดดันให้ศัตรูได้ทั้งสิ้น
“ แกแหละต้องหุบปาก สิ่งที่แกต้องการอยู่กับฉัน ถ้าคิดว่ามีปัญญาเอาชนะฉันได้ก็ลองมาแย่งชิงไปดู ” จ้าวเทียนพูดสวนกลับไปด้วยแววตาท้าทาย พร้อมกับเรียกต้นไม้เอกภพมาแสดงให้อีกฝ่ายเห็น ก่อนจะเก็บเข้าไปในพื้นที่จิตวิญญาณอีกครั้ง
“ เหอะ คิดว่ามีสมบัติโกลาหลแม่น้ำเต๋าคอยปกป้องอยู่ แล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้งั้นรึ ” พูดจบ จูเก้อหมิงคายแท่งโลหะสีดำแหลมคมออกมาจากริมฝีปาก
นี่คือ เข็มทมิฬดับชะตา อาวุธสังหารระดับกึ่งโกลาหล ที่เขานำติดตัวเข้ามาในจักรวาลแห่งนี้ด้วยตั้งแต่หลายพันล้านปีก่อน
อานุภาพของมันสามารถบุกทะลวงเข้าไปในสายธารแห่งการเวลา เพื่อเข่นฆ่าตัวตนในอดีตหรืออนาคตของศัตรู โดยยอมแลกเปลี่ยนกับอายุขัยบางส่วนของผู้ใช้
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของมันคือใช้ได้แค่หนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวเข็มทมิฬดับวิญญาณที่ถูกซัดออกไปแล้ว ก็ไม่อาจหวนคืนสู่ช่วงเวลาปัจจุบันได้แน่นอน
“ อาวุธชิ้นนี้… ” จ้าวเทียนสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นสุดขั้วหัวใจ ลางมรณะอันพรั่นพรึงเริ่มคุกคามเข้าใส่จิตวิญญาณของเขาอย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่าเมื่ออีกฝ่ายปลดปล่อยอานุภาพที่แท้จริงของเข็มสีดำนี้ออกมา ตัวเขาก็ต้องตกตายแน่นอน
“ จงภูมิใจเสียเถอะ เดิมทีของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้สังหารวานรเทพสามตาในตอนที่มันหมดประโยชน์ แต่ในเมื่อจิตวิญญาณต้นกำเนิดของมันหายสาบสูญไปจากจักรวาล เจ้าก็รับแทนมันไปแล้วกัน ”
วิ้งง!
สิ้นเสียง ปลายแหลมของเข็มทมิฬดับชะตาก็ถูกเล็งเป้าหมายไปที่กลางหน้าผากจ้าวเทียน ถึงแม้ระยะห่างของทั้งสองฝ่าย จะถูกขวางกั้นไปด้วยสนามพลังแห่งกาลเวลา และม่านพลังป้องกันอันแข็งแกร่งของแม่น้ำเต๋า
แต่ฤทธานุภาพของมัน ก็สะกดจ้าวเทียนจนไม่อาจเคลื่อนไหวหลบหนีได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับทั้งชีวิตและดวงวิญญาณของเขา ถูกเจตนาสังหารของเข็มสีดำแทงทะลุปักตรึงอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าก็ไม่ปาน
“ เนตรสวรรค์บรรพกาล! จงเปิดประตูสู่ห้วงเวลาในอดีตตรงหน้าข้า ”
ด้วยขอบเขตปัจจุบันของจูเก้อหมิง หลายสิ่งหลายอย่างไม่จำเป็นต้องอนุมานแบบจงใจ แค่เพียงกวาดตามองผ่านดูก็สามารถเห็นช่วงชีวิตตั้งแต่อดีตไปจนถึงอนาคต ของจักรพรรดิเทพสูงสุดหรือตัวตนอื่นระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย
ถึงแม้มันจะมีความเป็นไปได้ที่แตกต่างกันนับพันล้านครั้งในทุกช่วงเวลา แต่เมื่อปรากฏต่อหน้าการดำรงอยู่เช่นเขา ความเป็นไปได้นับพันล้านเหล่านี้ก็กลายเป็นเส้นตรงที่ชัดเจน ทำให้สามารถค้นหาผลลัพธ์ที่กำหนดไว้ในอนาคตได้แบบแม่นยำ
วูป!
เมื่อช่องว่างแห่งกาลเวลาถูกเปิดออก ส่วนปลายอันแหลมคมของเข็มทมิฬก็เริ่มหมุนควงสว่าน คล้ายกับต้องการทะลวงกำแพงแห่งอดีต ปัจจุบันและอนาคต เข้าไปเข่นฆ่าจ้าวเทียนในช่วงเวลาที่อ่อนที่สุด
‘ แย่แล้ว หากยังไม่รีบทำอะไรซักอย่างชีวิตฉันคงจบสิ้นแน่ ’
จ้าวเทียนกัดฟันแน่น เมื่อเห็นภาพตัวเองสมัยที่ยังเป็นทารก ปรากฏขึ้นในอีกฝั่งของช่องว่างกาลเวลา เขาพยายามใช้เจตจำนงกระบี่ราชันสวรรค์ทำลายข้อจำกัดทั้งมวล แต่น่าเสียดายที่มันไม่เป็นผล
เพราะถึงแม้ความแข็งแกร่งของเขาจะทัดเทียมฝ่ายตรงข้าม แต่ระดับการตระหนักรู้และความเข้าใจอันลึกซึ้งในกฎเกณฑ์ต้นกำเนิดแห่งมิติเวลา ของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไป
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ปกครองเอกภพ ซึ่งเป็นตัวตนที่ดำรงอยู่มาหลายพันหรือหลายหมื่นล้านปีตั้งแต่ก่อนจักรวาลจะถือกำเนิด อดีตมหาเทพที่เคยปกครองแดนสวรรค์มาแค่เพียงแสนปีอย่างเขาก็เทียบอีกฝ่ายไม่ติดจริงๆ
ทว่า ในพริบตาที่ชีวิตของจ้าวเทียนถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย พันธนาการบางอย่างที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตวิญญาณของเขาก็ถูกปลดออก ทำให้ภาพความทรงจำมากมายมหาศาลทั้งที่เป็นของเขาและไม่ใช่ของเขาระเบิดออกมา
แวบ!
แววตาของจ้าวเทียนเปล่งประกายเจิดจ้า ราวกับมีดาราจักรนับไม่ถ้วนหมุนวนอยู่ภายใน โดยมีภาพลวงตาของต้นไม้เอกภพอันใหญ่โตมโหฬาร หยั่งรากลึกเป็นจุดศูนย์กลางแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง
ทันใดนั้น
ครืนน! กึก!ๆ
เข็มทมิฬดับชะตาซึ่งจมหายไปช่องว่างกาลเวลากว่าครึ่ง ก็ถูกผลักดันให้ถอยกลับมาอย่างช้าๆ เหมือนชนเข้ากับกำแพงอันแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่นิดเดียว
“ เหอะ ยังคิดจะดิ้นรนอยู่งั้นรึ ” จูเก้อหมิงแค่นเสียงเย็นชา เขาคิดว่าจ้าวเทียนใช้สมบัติล้ำค่าหรือเครื่องรางช่วยชีวิตปกป้องตัวเอง ซึ่งโดยปกติแล้วมันจะใช้ได้ครั้งเดียวหรือมีขีดจำกัดบางอย่าง
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเด็ดขาดเผาผลาญแก่นโลหิตของตน เพื่อปลดปล่อยอานุภาพขั้นสูงสุดของเข็มทมิฬดับชะตา
โดยไม่สนใจว่า มันจะมีผลสะท้อนกลับที่จะสร้างความเสียหายต่อจิตวิญญาณตนเองอย่างไร เพราะขอเพียงช่วงชิงต้นไม้เอกภพมาได้การเสียสละทุกอย่างล้วนคู่ควร
แต่ทว่า…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน